นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.ยุติธรรม กล่าวถึงกรณีผู้ต้องขังติดเชื้อโควิด-19 ในเรือนจำว่า ในขณะนี้ที่รวบรวมได้มีผู้ต้องขังติดเชื้อ 10,384 คน ทั้งนี้ถือเป็นความท้าทายของกระทรวงยุติธรรมและกรมราชทัณฑ์เป็นอย่างมาก เพราะคุณลักษณะของผู้ต้องขังที่ต้องติดเชื้อถูกจำกัด ในเรื่องของกฎหมายที่ให้ต้องจองจำ ประกอบจำนวนผู้ต้องขังที่มีอยู่มากเกินกว่าที่สถานที่ปัจจุบัน ตลอดจนเจ้าหน้าที่เข้ามาดูแลจะสามารถรองรับได้
ดังนั้นกระทรวงยุติธรรมและกรมราชทัณฑ์ จะพิจารณานโยบายการพักโทษในรูปแบบพิเศษ เช่น การติดกำไล EM ให้ละเอียดรอบคอบ โดยพิจารณาสิ่งแวดล้อม และข้อเท็จจริง ตลอดจนสภาวะของผู้ต้องขัง เพื่อกำหนดนโยบายการพักโทษขึ้นมา รวมทั้งกฎหมายต่างๆ เพื่อให้กรมราชทัณฑ์ กระทรวงยุติธรรม และสังคมได้ประโยชน์ด้วยกัน ตลอดจนสิทธิขั้นพื้นฐานผู้ต้องขัง
"ถ้าเราใช้ยาฟาวิพิราเวียร์ รักษา 10,000 คน หัวหนึ่ง 5,000 บาท จะใช้เงินถึง 50 ล้านบาท แต่หากใช้วัคซีนกับผู้ต้องขัง 300,000 คนหัวละ 1,000 บาท จะใช้ 300 ล้านบาท จะหยุดเชื้อในเรือนจำได้ทั้งหมด ผมจะเสนอไปยังนายอนุทิน ชาญวีรกูล รมว.สาธารณสุข ดำเนินการให้เรียบร้อย ซึ่งหวังว่าทางนายอนุทินจะเข้าใจและเร่งดำเนินการให้
ส่วนสถานการณ์ที่ จ.เชียงใหม่ ได้ใช้บับเบิ้ล แอนด์ซีล ควบคุมในเรือนจำ โดยมีการร่วมมือกับส่วนราชการต่างๆในจังหวัด ในเรื่องตัวเลขต้องแจกแจงให้ชัด เราไม่ได้ปิดบังหรือปกปิด แต่หากไม่สามารถทำให้ถูกต้องได้ต้องมีคนรับผิดชอบ เราจะทำตัวเป็นทองไม่รู้ร้อนไม่ได้" นายสมศักดิ์ กล่าว
สำหรับขณะนี้มีมาตรการ 10 ข้อ ที่เตรียมดำเนินการ คือ
1. ให้แถลงจำนวนผู้ต้องขังที่ได้ตรวจเชิงรุกไปแล้วมีจำนวนเท่าไร
2. ตรวจเชิงรุกให้ครบทุกเรือนจำ ทั้งผู้ต้องขัง เจ้าหน้าที่เรือนจำและเจ้าหน้าที่ส่วนกลางทุกคน รวมทั้งผู้บริหารระดับสูง ของกรมราชทัณฑ์ทุกคน 55,000 คน
3. ในส่วนของที่มาของเชื้อให้เร่งสืบข้อเท็จจริงและสาเหตุการติดเชื้อครั้งนี้ และถ้าได้ความแน่ชัดจะแจ้งให้ทราบโดยไม่ปิดบังใดๆ ทั้งสิ้น
4. การรักษาและการเฝ้าดูอาการคนไข้จะทำตลอดเวลาไม่มีวันหยุด ทุกคนจะต้องทำงานแข่งกับเวลา
5. ประสานงานกับกระทรวงสาธารณสุข เพื่อหาวิธีการรักษาที่เร็วและได้ผลดีที่สุด โดยใช้ยาฟาวิพิราเวียร์ รวมทั้งการใช้สมุนไพรไทย เช่น ฟ้าทะลายโจร เข้าช่วยรักษาในขณะที่รอดูอาการโดยเฉพาะอย่างยิ่ง คนในระดับสีเขียวที่ติดเชื้อแต่ยังไม่มีอาการ และคนระดับสีเหลืองที่กำลังเริ่มมีอาการ
6. ผู้ต้องขังเป็นประชาชนคนไทย ที่ต้องอยู่ในเรือนจำไปไหนไม่ได้ 100% การอยู่ในที่ถูกล้อมเอาไว้ ขยับขยายไปไหนไม่ได้เป็นอุปสรรคอย่างมหาศาลในการแก้ไข้ปัญหา ประกอบกับห้องนอนนั้นมีผู้ต้องขังอยู่กันอย่างแออัด
7. มีความจำเป็นที่ต้องเอาผู้ต้องขังและผู้คุม ที่ไม่ติดเชื้อในทุกเรือนจำ จะต้องได้รับการฉีดวัคซีนอย่างเร่งด่วน
8. จะมีการติดประกาศหน้าเรือนจำทุกแห่งในประเทศไทย เพื่อแจ้งให้ทราบว่ามีผู้ต้องขังติดเชื้อกี่คนและไม่ติดเชื้อกี่คน หายแล้วกี่คน จะมีการแจ้งเช่นนี้เป็นระยะๆ อย่างน้อยที่สุดอาทิตย์ละ 1 ครั้ง และจะปรับตัวเลขทุกวัน เพื่อให้ประชาชนในแต่ละชุมชนได้รับทราบ
9. ผู้บัญชาการเรือนจำทุกคน จะทำรายชื่อผู้ติดเชื้อ และปรับปรุงเป็นรายวันเพื่อให้ญาติผู้ต้องขังทุกคนสามารถเข้ามาตรวจสอบได้ทุกวัน ไม่เว้นวันหยุดราชการ ตั้งแต่ 08.00 - 18.00 น.
10. กระทรวงยุติธรรมและกรมราชทัณฑ์ จะรีบเร่งวางแผน เตรียมตัวรับการระบาดครั้งนี้ และครั้งหน้าที่จะมีมาได้ทุกเมื่อ โดยจะรีบเร่งประชุมพิจารณาในเรื่องของบุคลากรที่ต้องเพิ่ม เช่น พยาบาลที่ปัจจุบันขาดแคลนเป็นจำนวนมาก รวมทั้งแพทย์ อุปกรณ์ทางการแพทย์ตลอดจนพื้นที่ในการรองรับ การดูแลรักษาผู้ต้องขัง เพราะโรคระบาดได้เข้ามาอยู่ในชีวิตสังคมคนไทยแล้วทั้งในวันนี้และอนาคต