นพ.ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวว่า กรณีที่มีประชาชนที่ได้รับการฉีดวัคซีนโควิด-19 แล้วมีข้อสงสัยถึงสภาพร่างกายของตนเองว่ามีปริมาณภูมิคุ้มกันต่อเชื้อโควิด-19 มากน้อยเพียงใด การตรวจหาภูมิคุ้มกันนั้นจะต้องตรวจหาด้วยวิธีการที่เป็นมาตรฐาน อาทิ Plaque Reduction Neutralization Test (PRNT) ซึ่งมีขั้นตอนที่ซับซ้อน ขณะที่การตรวจโดยวิธีอื่นได้ผลไม่แน่นอน และไม่อาจรับรองได้ว่ามีภูมิคุ้มกันเกิดขึ้นหรือไม่
ดังนั้นขณะนี้จึงยังไม่มีผลิตภัณฑ์ชุดตรวจและน้ำยาตรวจตรวจหาปริมาณภูมิคุ้มกัน (Quantitative antibody) ที่ได้รับการอนุมัติจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ที่สามารถนำมาให้บริการตรวจภูมิคุ้มกันหลังได้รับวัคซีนโควิด-19 จึงขอประชาสัมพันธ์ให้สถานพยาบาลทุกแห่ง หากมีการโฆษณาหรือประกาศเกี่ยวกับกรณีดังกล่าว จะเข้าข่ายการโฆษณาอันเป็นเท็จ โอ้อวดเกินจริง ฝ่าฝืน พ.ร.บ.สถานพยาบาล พ.ศ.2541 และที่แก้ไขเพิ่มเติม
ทั้งนี้ ภาครัฐมีการศึกษาวิจัยผลลัพธ์หลังการฉีดวัคซีนโควิด-19 ในภาพรวมอย่างต่อเนื่องอยู่แล้ว การตรวจภูมิคุ้มกันจึงยังไม่มีความจำเป็นสำหรับบุคคลทั่วไป เพราะข้อมูลตัวเลขที่ได้รายบุคคลนั้นก็ไม่สามารถนำมาแปลผลได้ ทั้งยังเป็นการเสียค่าใช้จ่ายโดยไม่จำเป็น และอาจจะสร้างความเข้าใจผิดต่อผลลัพธ์ของวัคซีนอีกด้วย
อย่างไรก็ดี แม้จะได้รับวัคซีนครบ 2 เข็มแล้ว แต่โอกาสที่จะติดเชื้อโควิด-19 ยังคงมีอยู่ จึงขอให้ประชาชนใส่ใจต่อพฤติกรรมสุขภาพ มีการเว้นระยะห่างทางสังคม สวมหน้ากากอนามัยทุกครั้งเมื่อออกจากที่พัก และล้างมือให้บ่อย เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันโควิด-19 ให้ตนเองอย่างยั่งยืนโดยมิต้องเสียทรัพย์สิน
ด้านทันตแพทย์อาคม ประดิษฐสุวรรณ รองอธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กล่าวว่า สำหรับบทกำหนดโทษของการโฆษณาอันเป็นเท็จ โอ้อวดเกินจริง หรือน่าจะก่อให้เกิดความเข้าใจผิดในสาระสำคัญเกี่ยวกับการประกอบกิจการของสถานพยาบาล ตาม พ.ร.บ.สถานพยาบาล พ.ศ.2541 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ผู้กระทำความผิดต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และให้ปรับอีกวันละไม่เกิน 10,000 บาท จนกว่าจะระงับการโฆษณา
โดยต้องขอเน้นย้ำกับประชาชนว่า การรับบริการทางการแพทย์ประเภทใดก็ตาม จะต้องพิจารณาให้ถี่ถ้วน อย่าด่วนตัดสินใจด้วยคำโฆษณา เพราะหากได้รับบริการทางการแพทย์ที่ไม่ได้คุณภาพมาตรฐานแล้ว นอกจากจะเสียทรัพย์สินโดยไม่จำเป็นแล้ว ยังอาจก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพร่างกายได้ด้วย
หากประชาชนพบเห็นหรือมีข้อสงสัยว่า การโฆษณาของโรงพยาบาลเอกชนหรือคลินิกใด เข้าข่ายการโฆษณาอันเป็นเท็จ โอ้อวดเกินจริง สามารถแจ้งเบาะแสได้ที่สายด่วนกรม สบส. 1426 หรือสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดในพื้นที่ เพื่อดำเนินการตรวจสอบตามกฎหมายต่อไป