นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.สาธารณสุข (สธ.) กล่าวภายหลังประชุมทางไกลผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด และผู้อำนวยการโรงพยาบาลทั่วประเทศ เพื่อซักซ้อมความเข้าใจรับมือสถานการณ์โรคโควิด-19 ว่า ได้สั่งการให้นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดสำรวจทรัพยากรให้พร้อมดูแลผู้ป่วยโควิดและบริหารจัดการการรักษาผู้ป่วยในจังหวัดเป็นเครือข่าย มอบผู้ตรวจราชการทุกเขตสุขภาพบริหารจัดการเตียงและอุปกรณ์การรักษาภาพรวมในเขตสุขภาพ
นอกจากนี้ให้ทุกจังหวัดเฝ้าระวังผู้เดินทางเข้ามาในพื้นที่โดยเฉพาะกลุ่มแรงงานกลับบ้าน เนื่องจากไม่สามารถห้ามการเดินทางได้ โดยขอให้ผู้เดินทางรายงานตัว อสม. เฝ้าระวังติดตาม รวมถึงมีการกักตัวตามมาตรการซึ่งเป็นแนวทางเดียวกันกับที่ดำเนินการในปีที่ผ่านมา ถือเป็นการช่วยแบ่งเบาภาระของ กทม.ที่มีการติดเชื้อจำนวนมาก
"กระทรวงสาธารณสุขจะดูแลเรื่องการรักษาพยาบาลอย่างเต็มที่ เพื่อลดการป่วยรุนแรงและลดการเสียชีวิต โดยจะเพิ่มจำนวนเตียงในโรงพยาบาลบุษราคัม ซึ่งมีศักยภาพเพิ่มได้อีกหลายพันเตียง โดยวันนี้จะไปหารือกับทางเมืองทองธานี เพื่อขอต่อสัญญาใช้สถานที่ นอกจากนี้ ยังร่วมกับกองทัพบกจัดทำ cohort ward และไอซียูสนาม 186 เตียงที่มณฑลทหารบกที่ 11" นายอนุทิน กล่าว
นายอนุทิน กล่าวต่อว่า ส่วนการป้องกันไม่ให้ติดเชื้อเพิ่มขึ้น ต้องอาศัยความร่วมมือกับหน่วยงานความมั่นคงและฝ่ายปกครอง เฝ้าระวังการหลบหนีหรือลักลอบเข้าประเทศ
สำหรับการฉีดวัคซีนโควิด ขณะนี้ฉีดแล้วมากกว่า 9 ล้านโดส เชื่อว่าจะสามารถฉีดได้ถึง 10 ล้านโดสตามเป้าหมายภายในเดือนมิถุนายนนี้ นอกจากนี้ได้กำชับให้ดำเนินการฉีดวัคซีนตามนโยบายของ ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) ในช่วงเดือนกรกฎาคม-สิงหาคม เน้นฉีดวัคซีนในกลุ่มผู้สูงอายุและ 7 กลุ่มโรค ที่ได้ลงทะเบียนผ่านหมอพร้อมให้ครบถ้วน เพื่อป้องกันการป่วยรุนแรงและลดการเสียชีวิต
ส่วนยาฟาวิพิราเวียร์ องค์การเภสัชกรรม (อภ.)จัดหามาอย่างเพียงพอในทุกเดือน ล่าสุดมีข่าวดีว่า สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) อาจจะขึ้นทะเบียนยาฟาวิพิราเวียร์ที่องค์การเภสัชกรรมใช้สารตั้งต้นมาผลิตในชื่อ "ฟาเวียร์" ได้ในกลางเดือนกรกฎาคมนี้ เนื่องจากผ่านการทดสอบชีวสมมูลแล้ว โดยเดือนสิงหาคมจะผลิตได้เดือนละ 2 ล้านเม็ด