น.ส.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ตามที่ ครม. มีมติเมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2564 อนุมัติหลักการร่างกฎหมายว่าด้วยการดำเนินงานขององค์กรที่ไม่แสวงหารายได้หรือผลกำไรมาแบ่งปันกัน (NGOs) และ พ.ร.บ.ส่งเสริมและพัฒนาองค์กรภาคประชาสังคม พ.ศ. ? โดยให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา (สคก.) นำไปประกอบการพิจารณายกร่างกฎหมาย และเปิดรับความคิดเห็นจากผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง ก่อนเสนอ ครม.พิจารณาอีกครั้งนั้น
ในวันนี้ ครม. มีมติเห็นชอบเพิ่มเติมหลักการร่างกฎหมายดังกล่าว เพื่อให้สอดคล้องกับข้อกำหนดตามมาตรฐานสากลด้านการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน และการต่อต้านการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้าย และการแพร่ขยายอาวุธที่มีอานุภาพทำลายล้างสูง (Anti-Money Laundering and Combating the Financing of terrorism: AML/CFT) จำนวน 8 ข้อ ตามที่สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินเสนอ
สำหรับสาเหตุที่ต้องเพิ่มเติมหลักการร่างกฎหมายในครั้งนี้ เนื่องจากไทยเป็นสมาชิกของกลุ่มต่อต้านการฟอกเงินเอเชียแปซิฟิก (Asia-Pacific Group on Money Laundering: APG) ซึ่งประเทศสมาชิกจะต้องเข้ารับการประเมินการปฏิบัติตามมาตรฐานสากล (AML/CFT) โดยผลการประเมินความสอดคล้องด้านกฎหมายองค์กรไม่แสวงหากำไรของไทยรอบที่ 3 มีความสอดคล้องเพียงบางส่วน จึงจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขกฎหมายเกี่ยวกับการกำกับดูแลองค์กรไม่แสวงหากำไร ในส่วนที่ยังไม่สอดคล้องกับมาตรฐานสากล จำนวน 8 ประเด็น ประกอบด้วย
1) การจดทะเบียนและการเปิดเผยข้อมูลการจดทะเบียน เนื่องจากปัจจุบันยังมีองค์กรไม่แสวงหากาไรจำนวนมากที่ไม่ได้จดทะเบียน และการลงโทษยังไม่เหมาะสม
2) การเก็บรักษาข้อมูลวัตถุประสงค์ของกิจกรรมขององค์กรไม่แสวงหากำไร และชื่อบุคคลที่เป็นเจ้าของ หรือมีอำนาจควบคุม และการเปิดเผยข้อมูล เนื่องจากไม่ชัดเจนว่ามีข้อมูลดังกล่าวและสาธารณชนสามารถเข้าถึงได้
3) การจัดทางบการเงินประจำปีที่แยกรายละเอียดของรายรับและรายจ่าย เนื่องจากกฎหมายที่มีอยู่ไม่ครอบคลุมองค์กรไม่แสวงหากำไรต่างประเทศ
4) การควบคุมการใช้เงินให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ เนื่องจากยังไม่มีความชัดเจนเกี่ยวกับอำนาจการตรวจสอบของนายทะเบียน รวมถึงการตรวจสอบบัญชีเป็นไปอย่างครบถ้วน และการใช้จ่ายเป็นไปตามวัตถุประสงค์หรือไม่
5) มาตรการยืนยันตัวตนผู้รับประโยชน์ และการจัดเก็บเอกสารแสดงตนของผู้บริจาค เนื่องจากไม่มีกฎหมายกำกับดูแลเรื่องดังกล่าว และไม่มีกระบวนการที่ชัดเจนในการรับบริจาคจากต่างประเทศ
6) การเก็บรักษารายการธุรกรรมอย่างน้อย 5 ปี และการเปิดเผยข้อมูล เนื่องจากไม่มีกฎหมายกำกับดูแลเรื่องดังกล่าว
7) บทลงโทษที่มีประสิทธิผล ได้สัดส่วน และมีผลยับยั้งการกระทำผิด เนื่องจากการลงโทษยังขาดในด้านประสิทธิผล ความเหมาะสม และมีผลยับยั้งการกระทำผิดขององค์กรไม่แสวงหากำไร
8) การให้ข้อมูลองค์กรไม่แสวงหากำไรกับหน่วยงานต่างประเทศ เนื่องจากไม่มีกฎหมายให้อำนาจเปิดเผยข้อมูลองค์กรไม่แสวงหากำไรกับหน่วยงานต่างประเทศ และไม่มีแนวทางที่ชัดเจนในการแบ่งปันข้อมูลเกี่ยวกับองค์กรไม่แสวงหากำไรกับต่างประเทศ
น.ส.รัชดา กล่าวเพิ่มเติมว่า หากประเทศไทยไม่ดำเนินการปรับปรุงแก้ไขกฎหมายกำกับดูแลองค์กรไม่แสวงหาผลกำไร (NGOs) ให้สอดคล้องตามมาตรฐานสากล (AML/CFT) อาจส่งผลให้ไทยไม่ผ่านการประเมินรอบที่ 4 ในปี 2568 และอาจถูกจัดอยู่ในบัญชีรายชื่อประเทศที่มีข้อบกพร่องเชิงยุทธศาสตร์ที่ต้องติดตามและรายงานผลการปฏิบัติตามมาตรฐานสากลอย่างใกล้ชิด
ทั้งนี้ เมื่อ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ได้ดำเนินการปรับปรุงเพิ่มเติมร่างกฎหมายดังกล่าวแล้ว จะมีการเปิดให้ประชาชนทั่วไปได้ร่วมแสดงความคิดเห็นอีกครั้ง