นายสมศักดิ์ แก้วเสนา นายอำเภอบางพลี ออกคำสั่งเร่งด่วนและขอประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนทุกคนอพยพออกห่างจากรัศมีโรงงานไฟไหม้ ซ.กิ่งแก้ว 21 ในระยะ 5 กิโลเมตร เนื่องจากถังเคมีขนาดใหญ่ความจุกว่า 2 ตัน อาจจะเกิดเหตุระเบิดซ้ำ ซึ่งคาดว่าจะมีความรุนแรงกว่าเหตุระเบิดเมื่อกลางดึกที่ผ่านมา
เนื่องจากได้เกิดเหตุเพลิงไหมในบริษัท หมิงตี้เคมีคอล ซอยกิ่งแก้ว 21 อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ ซึ่งสถานการณ์ยังไม่สงบอาจเกิดอันตรายกับประชาชนบริเวณข้างเคียง องค์การบริหารส่วนตำบลบางพลีใหญ่ขอให้ประชาชนอพยพออกห่างจากสถานที่เกิดเหตุในระยะ 5 กิโลเมตร เพื่อความปลอดภัย
ศูนย์วิทยุพระนครร่วมกตัญญูในพื้นที่สมุทรปราการ กล่าวว่า จากกรณีเกิดเหตุระเบิดที่โรงงานหมิงตี้ เคมีคอล ยังอยู่ระหว่างการควบคุมเพลิง โดยจากเหตุการณ์ดงกล่าวทำให้เจ้าหน้าที่อาสาสมัครกู้ภัยเสียชีวิตจากเหตุการณ์นี้แล้ว 1 ราย และบาดเจ็บ 1 ราย ส่วนชาวบ้านที่อยู่ใกล้เคียงก็ได้รับบาดเจ็บอีกจำนวนหนึ่ง อย่างไรก็ดียังไม่สามารถให้คำตอบได้ว่าถังเก็บสารเคมีจะเกิดการระเบิดซ้ำอีกรอบหรือไม่
ขณะที่เจ้าหน้าที่ดับเพลิงได้นำเฮลิปคอปเตอร์ขึ้นบินเพื่อโปรยสารเคมีดับเพลิง ณ จุดเกิดเหตุแล้ว แต่ยังไม่สามารถควบคุมเพลิงได้ ร่วมกับการใช้น้ำฉีดตลอดเวลา
ด้านนายนายฤทธิ์ณรงค์ ศรีบัว หัวหน้าสำนักปลัด อบต.บางพลีใหญ่ กล่าวว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างการอพยพประชาชนที่อาศัยในพื้นที่ใกล้โรงงานในรัศมี 5 กิโลเมตร โดยมีรถจากมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง และมูลนิธิร่วมกตัญญูรับส่งประชาชนที่ทยอยอพยพออกจากพื้นที่ไปยังจุดอพยพทั้ง 3 แห่ง ได้แก่ 1.โรงเรียนเตรียมปริญญานุสรณ์ จำนวนราว 200 คน 2.อบต.บางพลีใหญ่ และ 3. โรงเรียนวัดบางพลีใหญ่กลาง ราว 150 คน นอกจากนี้ได้มีการเพิ่มศูนย์อพยพอีก 1 แห่ง คือโรงเรียนวัดบางพลีใหญ่ใน วัดหลวงพ่อโต โดยขณะนี้กำลังอยู่ระหว่างการดำเนินการเปิดรับลงทะเบียนประชนที่ทยอยอพยพมา
ทั้งนี้ สถานที่อพยพอยู่ในพื้นที่ 2-3 กิโลเมตรจากโรงงาน แต่มีอาคารสูงหลายแห่งกั้นอยู่ทางทิศใต้ ถือว่ามีความปลอดภัยในระดับหนึ่ง โดยทางศูนย์อพยพได้จัดเตรียมสถานที่พัก อาหาร และน้ำให้แก่ประชาชนที่ทำการอพยพมาเรียบร้อยแล้ว
อย่างไรก็ตามมีประชาชนบางส่วนที่ไม่ยอมออกนอกพื้นที่เสี่ยง ซึ่งถือว่าค่อนข้างเป็นอันตรายหากเกิดการระเบิดขึ้นอีกครั้ง เนื่องจากรัศมีของการระเบิดในครั้งนี้ค่อนข้างกว้าง
ในขณะเดียวกันทางนายอำเภอบางพลีอยู่ระหว่างการประสานงานหาสถานที่สำหรับรองรับประชาชนเพิ่มเติม โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการเฝ้าติดตามสถานการณ์ว่าจะสิ้นสุดลงเมื่อไหร่ เพื่อที่จะทราบว่าจะต้องจัดเตรียมพื้นที่เพื่อรองรับประชาชนในค่ำคืนนี้หรือไม่
ด้าน พล.ต.ต.ยิ่งยศ เทพจำนงค์ โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) เปิดเผยว่า กรณีเกิดเหตุโรงงานสารเคมีผลิตเม็ดโฟมพลาสติกระเบิดก่อให้เกิดความเสียหายภายในพื้นที่โรงงานทั้งหมด และบริเวณรอบข้างในรัศมี 1 กิโลเมตร บ้านเรือนของประชาชนได้รับความเสียหายกว่า 70 หลังคาเรือน มีรถยนต์ได้รับความเสียหายจำนวน 15 คัน และผู้ได้รับบาดเจ็บจำนวนหลายราย
จากเหตุการณ์ดังกล่าว สตช.โดย พล.ต.ท.อำพล บัวรับพร ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 ลงพื้นที่ และเร่งดำเนินการจัดกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจบูรณาการกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการให้ความช่วยเหลือ พร้อมอำนวยความสะดวกด้านการจราจร เร่งลำเลียงอพยพประชาชนออกจากพื้นที่ เนื่องจากอาจได้รับอันตรายจากสารเคมีที่เผาไหม้ เนื่องมาจากสถานการณ์ล่าสุด ยังไม่สามารถควบคุมเพลิงได้ จึงเกรงว่าจะลุกลามไปติดยังโกดังเก็บสารเคมีในบริเวณใกล้เคียง
สตช.ขอประชาสัมพันธ์แจ้งเตือนมายังประชาชนในพื้นที่รัศมีโดยรอบไม่เกิน 5 กิโลเมตร เร่งอพยพออกจากพื้นที่ โดยได้มีการจัดตั้งศูนย์อพยพไว้รองรับประชาชน 3 จุด ดังนี้ 1.โรงเรียนเตรียมปริญญานุสรณ์, 2.องค์การบริหารส่วนตำบลบางพลีใหญ่ และ 3.วัดสลุด อ.บางพลีใหญ่
น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ได้รับรายงานเหตุการณ์ในครั้งนี้และได้กำชับเจ้าหน้าที่และหน่วยงานด้านการป้องกันสาธารณภัยให้ประสานการทำงานกับทั้งส่วนกลางและท้องถิ่น เพื่อให้การดูแลความปลอดภัยกับประชาชนมีประสิทธิภาพสูงสุด
ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีขอให้ทุกหน่วยงานที่เข้าไปปฏิบัติภารกิจครั้งนี้ให้ความสำคัญกับความปลอดภัยในชีวิตและสุขภาพของประชาชนเป็นอันดับแรก เนื่องจากโรงงานที่เกิดเหตุตั้งอยู่ในชุมชน เป็นโรงงานที่มีคลังเก็บสารเคมีไว้จำนวนมาก นอกจากผลกระทบจากแรงระเบิดแล้ว อาจมีผลกระทบในส่วนมลพิษทางอากาศด้วย จึงขอให้การควบคุมสถานการณ์ดำเนินการอย่างรอบด้าน พร้อมกับให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ให้ปฏิบัติภารกิจลุล่วง ดูแลประชาชนให้กลับสู่ภาวะปกติเร็วที่สุด
น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า เนื่องจากสถานที่เกิดเหตุมีที่ตั้งอยู่ใกล้กับท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ซึ่งเป็นท่าอากาศยานนานาชาติหลักของประเทศไทย นายกรัฐมนตรีขอให้กระทรวงคมนาคม บมจ.ท่าอากาศยานไทย (AOT) ในฐานะผู้บริหารท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ได้ประสานงานกับหน่วยงานในพื้นที่เพื่อติดตามข้อมูล ประเมินเหตุที่เกิดขึ้นว่าส่งผลกระทบต่อการให้บริการของท่าอากาศยานหรือไม่เพียงใด เพื่อปรับการให้บริการให้เป็นไปตามมาตรฐานความปลอดภัยของสากล หากมีการเปลี่ยนแปลงใดขึ้นก็ให้เร่งแจ้งข่าวสารผู้ใช้บริการทราบต่อไป
"นายกรัฐมนตรีให้กำลังใจกับเจ้าหน้าที่ทุกคน ขอให้เจ้าหน้าที่จากทุกหน่วยงานร่วมกันปฏิบัติงานและดูแลประชาชนให้เต็มที่ และให้เร่งสอบสวนเหตุที่เกิดขึ้นว่าเกิดจากสาเหตุใด มีการกระทำที่ไม่เป็นไปตามกฎหมายจนเกิดเหตุรุนแรงครั้งนี้หรือไม่ พร้อมกับให้พิจารณาในเรื่องของการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบตามกรอบของกฎหมายต่อไป"น.ส.ไตรศุลี กล่าว
นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวอีกว่า นายกรัฐมนตรีขอให้เจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานในพื้นที่ด้วยความระมัดระวังอย่างยิ่ง หลังรับทราบรายงานเจ้าหน้าที่ดับเพลิง 1 รายเสียชีวิตและมีผู้ได้รับบาดเจ็บสาหัสระหว่างการปฏิบัติหน้าที่ด้วย ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีได้ให้เจ้าหน้าที่กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย รวมทั้งหน่วยงานท้องถิ่นเร่งเข้าช่วยเหลืออพยพประชาชนและผู้ได้รับความเสียหาย