นพ.ศุภกิจ ศิริลักษณ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ เปิดเผยว่า จากข้อมูลการเฝ้าระวังสายพันธุ์โควิด-19 ในประเทศไทย ของกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ร่วมกับเครือข่ายห้องปฏิบัติการ พบว่า ระหว่างวันที่ 28 มิ.ย.-2 ก.ค. 64 ในพื้นที่กรุงเทพฯ พบสายพันธุ์เดลตา (อินเดีย) มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยพบ 487 ราย (52%) ส่วนสายพันธุ์อัลฟา (อังกฤษ) 447 ราย (47.8%) และสายพันธุ์เบตา (แอฟริกาใต้) 2 ราย (0.2%) โดยผู้ป่วยสายพันธุ์เบตาทั้ง 2 ราย เป็นครอบครัวเดียวกับที่พบรายแรกที่ติดเชื้อจากลูกชายที่เดินทางมาจากจังหวัดนราธิวาส
ส่วนภูมิภาค พบสายพันธุ์อัลฟา 1,011 ราย (77.6%) สายพันธุ์เดลตา 234 ราย (18%) และสายพันธุ์เบตา 57 ราย (4.4%) โดยพบว่าสายพันธุ์เดลตา มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทุกสัปดาห์ ส่วนสายพันธุ์อัลฟา และเบตามีแนวโน้มลดลง ซึ่งสายพันธุ์เบตาส่วนใหญ่ยังพบในพื้นที่ภาคใต้ โดยเฉพาะในจังหวัดนราธิวาสมากที่สุด
ดังนั้นข้อมูลการเฝ้าระวังทั้งประเทศตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2564 ถึงวันที่ 2 กรกฎาคม 2564 สายพันธุ์อัลฟา จำนวน 9,209 ราย (81.98%) สายพันธุ์เดลตา จำนวน 1,838 ราย (16.36%) และสายพันธุ์เบตา จำนวน 186 ราย (1.66%)
สัดส่วนสายพันธุ์ที่เฝ้าระวังสะสมทั้งประเทศ พบว่าสายพันธุ์อัลฟายังมากที่สุดในประเทศไทย แต่มีแนวโน้มลดลง ส่วนสายพันธุ์เดลตามีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทุกสัปดาห์
นอกจากนี้กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ได้เพาะเลี้ยงเชื้อไวรัสที่กลายพันธุ์ เพื่อนำมาทดสอบกับซีรั่มคนที่ได้รับวัคซีนโควิด-19 ว่า สามารถป้องกันหรือลดฤทธิ์ไวรัสกลายพันธุ์ ทั้งสายพันธุ์อัลฟา เดลตา และเบตาได้มากน้อยเพียงใด โดยจะใช้วิธีมาตรฐาน คือ Plaque Reduction Neutralization Test (PRNT) ซึ่งเป็นการทดสอบกับไวรัสจริง ภายในห้องปฏิบัติการชีวนิรภัย ระดับ 3 รวมถึงการทดสอบกับซีรั่มของผู้ที่ได้รับวัคซีนต่างชนิดกันอีกด้วย