น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบร่างกฎกระทรวงกำหนดมาตรฐานในการบริหาร จัดการ และดำเนินการด้านความปลอดภัยอาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงานเกี่ยวกับรังสี เพื่อให้ลูกจ้างมีความปลอดภัยมากขึ้นในการปฏิบัติงานที่มีความเกี่ยวข้องกับรังสี
โดยได้กำหนดให้นายจ้างที่มีไว้ในครอบครองซึ่งต้นกำเนิดรังสี และได้ขออนุญาตหรือได้แจ้งการครอบครองตามกฎหมายว่าด้วยพลังงานนิวเคลียร์เพื่อสันติ ให้ส่งสำเนาการแจ้งนั้นต่ออธิบดี หรือผู้ซึ่งอธิบดีมอบหมายภายใน 7 วัน นับแต่วันที่แจ้งตามกฎหมายว่าด้วยพลังงานนิวเคลียร์เพื่อสันติ
นอกจากนี้ ยังกำหนดให้นายจ้างกำหนดพื้นที่ควบคุม โดยจัดทำรั้ว คอกกั้น หรือเส้นแสดงแนวเขต หรือวิธีการอื่นที่เหมาะสม และจัดให้มีป้ายสัญลักษณ์ทางรังสี ควบคุมดูแลไม่ให้ลูกจ้างซึ่งไม่มีหน้าที่ปฏิบัติงานเกี่ยวกับรังสี หรือบุคคลภายนออกเข้าไปในพื้นที่ควบคุม รวมถึงกำหนดให้มีมาตรการเพื่อป้องกันไม่ให้ลูกจ้าง ซึ่งปฏิบัติงานเกี่ยวกับรังสีได้รับปริมาณรังสีสะสมเกินปริมาณที่กำหนด โดยลูกจ้างซึ่งปฏิบัติงานเกี่ยวกับรังสีต้องใช้อุปกรณ์บันทึกปริมาณรังสีประจำตัวบุคคลตลอดเวลาที่มีการปฏิบัติงาน และจัดทำข้อมูลเกี่ยวกับปริมาณรังสีสะสมที่ลูกจ้างได้รับ
ขณะเดียวกัน ยังกำหนดให้นายจ้างจัดให้มีแผนป้องกันและระงับอันตรายจากรังสี ในกรณีที่ต้นกำเนิดรังสีมีการรั่วไหล หก หล่น หรือฟุ้งกระจาย เกิดอัคคีภัย หรือเกิดเหตุฉุกเฉินทางรังสีอันอาจเป็นเหตุให้ลูกจ้างประสบอันตราย เจ็บป่วยหรือเสียชีวิต ให้นายจ้างสั่งให้ลูกน้องทุกคนหยุดการทำงานและออกไปยังสถานที่ที่ปลอดภัยทันที และให้นายจ้างดำเนินการตามแผนป้องกันและระงับอันตรายจากรังสีในกรณีเกิดเกตุฉุกเฉินทางรังสีโดยทันที พร้อมกำหนดให้มีสัญลักษณ์ทางรังสี และข้อความเตือนภัยจากรังสีแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนบริเวณพื้นที่ควบคุม โดยจัดให้มีสัญญาณไฟสีแดง หรือป้ายสัญลักษณ์เตือนภัยขณะที่มีการใช้งานต้นกำเนิดรังสี และจัดให้มีระบบสัญญาณฉุกเฉินในกรณีเกิดเหตุฉุกเฉินทางรังสี
พร้อมทั้งกำหนดให้นายจ้างจัดอุปกรณ์คุ้มครองความปลอดภัยส่วนบุคคล เช่น หมวกพลาสติก, ถุงมือผ้าหรือยาง, รองเท้า, เสื้อคลุมที่ทำด้วยฝ้ายหรือยาง, แว่นตา, ที่กรองอากาศ, เครื่องช่วยหายใจ หรืออุปกรณ์อื่นที่จำเป็น รวมถึงการจัดทำคู่มือหรือเอกสาร ในการสาธิต และกำหนดมาตรการหรือข้อบังคับเกี่ยวกับประโยชน์ วิธีการใช้ และวิธีการบำรุงรักษาอุปกรณ์คุ้มครองความปลอดภัยส่วนบุคคล
"กระทรวงสาธารณุสข มีความเห็นเพิ่มเติมว่า ควรให้สตรีมีครรภ์ ละเว้นจากการปฏิบัติหน้าที่ด้านรังสี และให้ไปปฏิบัติหน้าที่อื่นจนกว่าจะคลอด และให้อยู่ห่างจากบริเวณรังสี เนื่องจากหากสตรีมีครรภ์ได้รับปริมาณรังสี จะเกิดการสะสมที่ส่งผลกระทบต่อทารกในครรภ์" น.ส.ไตรศุลีกล่าว