นายสุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ นายกสภาวิศวกร และอธิการบดี สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) เปิดเผยว่า จากเหตุระเบิดและเพลิงไหม้โรงงานย่านกิ่งแก้ว จังหวัดสมุทรปราการ ซึ่งส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนและระบบนิเวศโดยรอบ สภาวิศวกร ในฐานะหน่วยงานที่ควบคุมดูแลมาตรฐานการประกอบวิชาชีพของวิศวกร รวมถึงมีหน้าที่ให้ความช่วยเหลือด้านวิชาการแก่ภาคประชาชน ตลอดจนให้คำปรึกษาและเสนอแนะด้านนโยบายแก่ภาครัฐ ภายใต้องค์ความรู้และความเชี่ยวชาญด้านงานวิศวกรรมในหลากมิติ ได้ระดมความเห็นจากวิศวกรผู้ชำนาญการในสาขาต่าง ๆ ทั้งวิศวกรรมโยธาและผังเมือง วิศวกรรมเคมี และวิศวกรรมสิ่งแวดล้อม ยื่น 6 ข้อเสนอแก่ภาครัฐ เพื่อเป็นแนวทางแก้ไขปัญหาระยะยาว กรณีเกิดเหตุระเบิดและเพลิงไหม้โรงงานภาคอุตสาหกรรมที่มีความเสี่ยงสูงได้ในอนาคต โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้
1. ต้องมีมาตรการเฝ้าระวังเหตุต่อเนื่อง เพราะถึงแม้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะสามารถควบคุมเหตุการณ์ดังกล่าวได้ แต่พื้นที่เกิดเหตุยังเป็นพื้นที่ภัยพิบัติเพราะเหตุจากอุบัติภัยของโรงงานอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ ซึ่งได้ส่งผลกระทบก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพของประชาชนและระบบนิเวศโดยรอบ จึงจำเป็นต้องมีมาตรการเฝ้าระวังสาธารณภัยด้านความปลอดภัยอย่างต่อเนื่อง
2. ต้องติดตั้งสถานีวัดคุณภาพอากาศ หลังเกิดเหตุต้องรายงานคุณภาพอากาศและปริมาณสารพิษโดยละเอียด ทั้งค่าฝุ่น PM2.5 PM 10 ค่าไนโตรเจนออกไซด์ (NOx) ฯลฯ เพื่อให้ประชาชนได้ทราบถึงความเสี่ยงอันตรายของสารพิษตกค้างในพื้นที่ ตลอดจนเป็นการเฝ้าระวังความปลอดภัยด้านสุขภาพของประชาชน และเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน ซึ่งสำนักวิจัยนวัตกรรมเมืองอัจฉริยะ (SCiRA) สจล. ได้ทำการพัฒนาสถานีตรวจวัดคุณภาพอากาศเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และพร้อมเป็นบิ๊กเดต้า (Big Data) สำหรับให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำไปขยายผลเพื่อเป็นแนวทางการแก้ไขปัญหาในอนาคต
3. ต้องจัดทำบัญชีฐานข้อมูลโรงงานอุตสาหกรรมให้เป็นปัจจุบัน หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องเร่งทำฐานข้อมูลโรงงานอุตสาหกรรมให้เป็นปัจจุบันอย่างเร่งด่วน เพื่อป้องกันการใช้พื้นที่ทับซ้อนระหว่างโรงงานอุตสาหกรรมและชุมชน เนื่องจากโรงงานอุตสาหกรรมในลักษณะนี้ เป็นโรงงานที่มีความเสี่ยงสูงในพื้นที่สีแดง มีการถือครองสารเคมีอันตรายร้ายแรงในปริมาณมาก ซึ่งมีโอกาสเกิดอันตรายต่อประชาชนในพื้นที่ ดังนั้น หากมีฐานข้อมูลดังกล่าว จะเป็นข้อมูลที่สำคัญในการเฝ้าระวัง ตลอดจนการวางแผนอพยพประชาชนได้อย่างทันท่วงที
4. ต้องมีผังโครงสร้างโรงงานโดยละเอียด การมีผังอาคารโรงงานในรูปแบบไฟล์อิเล็กทรอนิกส์ จะเป็นตัวแปรสำคัญที่ช่วยให้ภาครัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้ทราบถึงข้อมูลของโรงงานโดยละเอียด ทั้งโครงสร้างอาคาร เส้นทางภายในโรงงาน ระบบการวางท่อ บริเวณจัดเก็บสารเคมีอันตรายร้ายแรง ฯลฯ และสามารถนำมาใช้ในการประเมินสถานการณ์ เตรียมการลงพื้นที่ในการระงับเหตุหรือบรรเทาความเสียหายได้อย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัย เพื่อลดการสูญเสียที่อาจจะเกิดขึ้นต่อชีวิตของทีมนักผจญเพลิง รวมถึงทรัพย์สินของผู้ประกอบการ
5. ต้องมีนโยบายบริหารจัดการให้กับโรงงานอย่างเป็นธรรม สำหรับเหตุการณ์ในลักษณะดังกล่าว ในต่างประเทศมีการจัดวาระประชุมเฉพาะ เพื่อหารือเรื่องการวางนโยบายแก้ไขปัญหาการจัดสรรพื้นที่ระหว่างโรงงานและชุมชนได้อย่างยั่งยืน ทั้งนี้ สามารถใช้ทั้งมาตรการผลักดันและส่งเสริมให้โรงงานอุตสาหกรรมย้ายออกจากพื้นที่ชุมชน แต่รัฐจำเป็นต้องมีข้อเสนอต่อโรงงานอุตสาหกรรมอย่างเป็นธรรม เช่น การลดภาษีการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดิน ในกรณีที่มีการซื้อ-ขาย ฯลฯ หากโรงงานอุตสาหกรรมยังคงต้องการอยู่ในพื้นที่ชุมชน ก็ต้องพร้อมรับกับกฎเกณฑ์ในการกำกับการประกอบอุตสาหกรรมของภาครัฐ
6. ต้องมีการจัดอบรมให้ความรู้นักผจญเพลิง จากกรณีที่มีเจ้าหน้าที่อาสาสมัครบรรเทาสาธารณภัยเสียชีวิตในเหตุการณ์ดังกล่าว ตอกย้ำเรื่องมาตรฐานการควบคุมเพลิงได้เป็นอย่างดี นักผจญเพลิงจะต้องมีความรู้เกี่ยวกับสารเคมีอย่างถูกต้อง ดังนั้น สภาวิศวกรเห็นควรจัดอบรมแก่นักผจญเพลิงทั้งในระดับท้องถิ่นและผู้สนใจให้เรียนรู้ถึงหลักการดับเพลิงที่ถูกต้อง และเข้าใจถึงอันตรายและความรุนแรงของสารเคมีต่าง ๆ เพื่อให้สามารถทำได้อย่างถูกต้องและปลอดภัยตามมาตรฐานสากล
อย่างไรก็ดี ในอนาคตหากสถานการณ์ในพื้นที่มีความปลอดภัยมากยิ่งขึ้น ทางสภาวิศวกรพร้อมด้วยวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ (วสท.) กรมโยธาธิการและผังเมือง สังกัดกระทรวงมหาดไทย รวมถึงวิศวกรอาสา เตรียมลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบความสมบูรณ์เชิงโครงสร้างตามหลักวิศวกรรม และให้ความรู้ด้านความปลอดภัยของอาคารที่พักอาศัยแก่ภาคประชาชนเป็นลำดับต่อไป
ทั้งนี้ กรณีที่ภาคประชาชนมีข้อสงสัยเกี่ยวกับโครงสร้างบ้านที่เสี่ยงอันตราย สามารถติดต่อสายด่วน สภาวิศวกร 1303 เพื่อขอข้อแนะนำในการตรวจสอบด้วยตนเองเบื้องต้น