ศูนย์วิจัยเอแบคนวัตกรรมทางสังคม การจัดการและธุรกิจ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ เปิดเผยผลสำรวจเรื่องความหวังและความกลัวของประชาชนต่อเงื่อนไขและปมปัญหาของประเทศ พบว่า สิ่งที่เป็นความหวังอันดับแรกของประชาชนต่อกลุ่มหรือองค์กรที่จะช่วยทำให้ประชาชนอยู่ดีมีสุขในช่วงการเปลี่ยนแปลงของประเทศขณะนี้ คือ ศาลปกครอง รองลงมาคือศาลรัฐธรรมนูญ และรัฐธรรมนูญปี 50 โดยนักการเมืองและนายทุนเป็นกลุ่มที่ประชาชนให้ความหวังต่ำสุด
ขณะที่ความกลัวของประชาชนต่อปัญหาสำคัญที่อาจจะเกิดขึ้นหลังการเลือกตั้ง พบว่าสิ่งที่ประชาชนกลัวมากที่สุดคือกลัวปัญหาทุจริตคอรัปชั่นในกลุ่มนักการเมืองจะกลับมาเช่นเดิม
"ขอเรียกร้องผู้ที่เป็นนักการเมืองและกลุ่มนายทุน เร่งออกมาทำกิจกรรมเสริมความหวังให้เกิดขึ้นในหมู่ประชาชนด้วยการแสดงความรับผิดชอบต่อสังคม ร่วมประกาศจุดยืนต่อต้านการทุจริตคอรัปชั่นและการซื้อสิทธิขายเสียงให้หมดไปจากสังคมไทย" นายนพดล กรรณิกา ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยเอแบคนวัตกรรมทางสังคมฯ ระบุ
นอกจากนี้ยังมีการสอบถามความคิดเห็นของประชาชนในช่วงก่อนการเลือกตั้ง พบว่าประชาชนส่วนใหญ่รู้สึกสับสนต่อการยุบรวมพรรคการเมืองต่างๆ ที่เกิดขึ้นในระยะนี้ แต่ส่วนใหญ่มีพรรคการเมืองที่ชื่นชอบอยู่ในใจแล้วแต่ก็ยังมีโอกาสเปลี่ยนใจไปชอบพรรคการเมืองอื่นได้
จากการสำรวจพบว่า ประชาชนเกินครึ่งไม่เห็นด้วยกรณีที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.)ไม่ให้ผู้สมัครรับเลือกตั้งและพรรคการเมืองต่างๆ โฆษณาหาเสียงในสื่อต่างๆ ทุกรูปแบบ เพราะมองว่าเป็นการปิดกั้นการรับรู้ของประชาชน ทำให้ประชาชนไม่ทราบนโยบายของแต่ละพรรคอย่างทั่วถึง อีกทั้งการใช้สื่อเป็นเรื่องปกติสำหรับประชาสัมพันธ์พรรคการเมือง และการปิดกั้นเช่นนี้จะทำให้เกิดการใช้ระบบหัวคะแนนซื้อสิทธิขายเสียงมากขึ้น
ทั้งนี้เมื่อสอบถามความมั่นใจของประชาชนต่อความสามัคคีกันในกลุ่มพรรคการเมืองต่างๆ เพื่อช่วยกันแก้ปัญหาของประเทศชาติและประชาชนหลังการเลือกตั้ง พบว่าส่วนใหญ่ถึง 81.8% ไม่มั่นใจ นอกจากนี้ประชาชนส่วนใหญ่ถึง 75.2% ยังไม่มั่นใจว่าเศรษฐกิจจะดีขึ้นได้หลังการเลือกตั้ง
ผลการสำรวจดังกล่าวมาจากประชาชนอายุ 18 ปีขึ้นไป ในเขตกรุงเทพมหานคร ปริมณฑลและจังหวัดหัวเมืองใหญ่ ได้แก่ เชียงใหม่, ขอนแก่น, สงขลา จำนวน 2,993 ตัวอย่าง ในระหว่างวันที่ 25-27 ต.ค.50
--อินโฟเควสท์ โดย กษมาพร กิตติสัมพันธ์ โทร.0-2253-5050 อีเมล์: kasamarporn@infoquest.co.th--