นายปริญญ์ พานิชภักดิ์ รองหัวหน้าพรรคและหัวหน้าทีมเศรษฐกิจทันสมัย พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) เรียกร้องศูนย์บริหารสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) ให้ทบทวนมาตรการสั่งปิดร้านอาหารในห้างสรรพสินค้าและคอมมูนิตี้ มอลล์ ในพื้นที่ 13 จังหวัดสีแดงเข้ม เนื่องจากไม่ได้ช่วยเพิ่มความปลอดภัยด้านสาธารณสุขมากนัก แต่สร้างผลกระทบหนักต่อประชาชนและเศรษฐกิจ
นายปริญญ์ ระบุว่า การสั่งปิดร้านอาหารในห้างสรรพสินค้าและคอมมูนิตี้ มอลล์ในพื้นที่สีแดงเข้ม เป็นการซ้ำเติมเศรษฐกิจและประชาชนครั้งใหญ่ เพราะเป็นการสั่งปิดแบบทันที ไม่มีการเยียวยาที่เหมาะสม รวมถึงยังไม่มีข้อมูลใดที่บ่งชี้ว่าร้านอาหารในห้างเป็นสาเหตุของการติดเชื้อได้มากกว่าร้านอาหารข้างนอก
โดยมาตรการในครั้งนี้ทำให้ผู้ประกอบการร้านอาหารต้องประสบกับปัญหาของค้างสต็อก การขาดสภาพคล่องทางการเงิน เสี่ยงต่อการปิดกิจการ ส่วนลูกจ้างต้องว่างงานหรือตกงานกะทันหัน ในขณะที่ประชาชนทั่วไปก็หาร้านอาหารได้ยากขึ้น ต้องไปแออัดต่อคิวซื้อกลับบ้านตามร้านอาหารที่มีอยู่อย่างจำกัด ซึ่งอาจจะสร้างผลเสียให้กระบวนการทางสาธารณสุขมากกว่าจะเป็นผลดี จึงอยากเรียกร้องให้ ศบค. เร่งทวบทวนมาตรการดังกล่าว และปรับเปลี่ยนให้เหมาะสม อย่าปล่อยให้ประชาชนต้องเผชิญวิกฤติกลับไปกลับมาซ้ำ ๆ อย่างที่เป็น
นายปริญญ์ ยังได้เสนอ 7 มาตรการแก้วิกฤติขาดแคลนเตียงในการรักษาผู้ป่วยโควิด-19 อย่างเร่งด่วน ถึงรัฐบาลและศบค. ดังนี้
1.เร่งตรวจหาผู้ติดเชื้อเชิงรุกและอนุมัติการนำเข้า Rapid Antigen Test Kits อย่างเร่งด่วน เพื่อให้ราคาในท้องตลาดถูกลง ประชาชนเข้าถึงได้ง่ายขึ้น และควรแจกชุดตรวจฟรีถึงบ้าน
2. ปรับเปลี่ยนสถานที่ เช่น โรงเรียนแพทย์ สถานที่ของกองทัพ และพื้นที่ของเอกชน มาเป็นศูนย์พักพิงแยกผู้ติดเชื้อออกมาจากชุมชนแออัด และมีมาตรการดูแลเชิงรุกก่อนส่งต่อผู้ป่วยไปยังโรงพยาบาล
3. เร่งแจกฟ้าทะลายโจรแก่ผู้ป่วยติดเชื้อ ไม่ต้องรอศึกษาเพิ่มแล้ว เพราะตอนนี้มีการศึกษาวิจัยจำนวนมากที่ออกมายืนยันว่าใช้ยานี้กับผู้ป่วยได้ดีในจำนวนที่เหมาะสม รวมถึงควรเร่งจัดหายา Favipiravir และ Remdesivir ให้เพียงพอ อย่าให้มีคอขวดในการนำเข้าแบบตอนนี้ รวมทั้งควรสนับสนุนให้ผลิตยาดังกล่าวได้อย่างเสรีในประเทศไทย
4. ปลดล็อกการจัดซื้อวัคซีนให้มีความคล่องตัว และโปร่งใสมากขึ้น โดยเฉพาะการจัดหาวัคซีน mRNA และวัคซีนเทคโนโลยีใหม่ เช่น โนวาแวกซ์ (Novavax) ให้แก่บุคลากรทางการแพทย์ทัพหน้าและประชาชนในพื้นที่วิกฤติ รวมถึงสนับสนุนการวิจัยและพัฒนาวัคซีนใบยา ของจุฬาฯ ที่เป็นหนึ่งในความหวังสกัดเชื้อกลายพันธุ์อย่างปลอดภัย
5. ปรับปรุงและพัฒนาการสื่อสารให้ชัดเจน ทำให้ประชาชนเข้าถึงได้ง่าย เช่น องค์ความรู้ด้านการกักตัวอยู่บ้าน (Home Isolation) การบริหารจัดการคิวฉีดวัคซีนให้มีความเป็นธรรมและเป็นไปอย่างเหมาะสม
6. เยียวยากลุ่มธุรกิจที่ให้ความร่วมมือปิดกิจการเป็นอย่างดีมาโดยตลอดและได้รับผลกระทบโดยตรง เช่น ฟิตเนส ร้านอาหาร อีเว้นท์ นักดนตรี ธุรกิจกลางคืน/บันเทิงให้เหมาะสม ทันท่วงที โดยกระทรวงการคลังและธนาคารแห่งประเทศไทย ควรจัดหาแหล่งเงินทุนหมุนเวียนที่ไม่มีดอกเบี้ยให้ผู้ประกอบการ พักหนี้ทั้งต้นและดอกอย่างจริงจัง และจัดสรรงบฟื้นฟูเพื่อช่วยเพิ่มผลผลิต ไม่ใช่แค่แจกเงิน เช่น การพัฒนาศักยภาพและทักษะใหม่ๆให้กับประชาชนผ่านสื่อออนไลน์เพื่อเพิ่มแรงงานฝีมือ และควรขยายผลโครงการที่ทำไปแล้วและได้ผลตอบรับที่ดี อาทิ โครงการกระจายความรู้ สู่ผู้ประกอบการยุคใหม่ (From Gen Z to be CEO) ของกระทรวงพาณิชย์ที่ท่านรองนายกฯจุรินทร์ได้ริเริ่ม โครงการเรียนจบพบงาน ของพรรคประชาธิปัตย์ เป็นต้น
7. ต้องช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายของประชาชนให้ได้อย่างจริงจัง โดยหน่วยงานที่รับผิดชอบ เช่น การประปาและการไฟฟ้าต้องยอมรับภาระต้นทุนในส่วนนี้เพื่อช่วยลดค่าน้ำค่าไฟให้กับประชาชนมากกว่าเดิม ภาครัฐต้องลดภาษีและค่าธรรมเนียมทุกชนิด รวมถึงบริษัทโทรคมนาคมต้องปรับลดค่าอินเตอร์เน็ตลงด้วย เพื่อสนับสนุนการทำงานและการศึกษาจากที่บ้าน (Work/Study From Home) โดยรัฐบาลอาจจัดสรรงบมาสนับสนุนด้วยได้
"คาดหวังเป็นอย่างยิ่งว่ารัฐบาล และ ศบค. จะเร่งดำเนินการแก้ไขวิกฤตินี้ตามที่ได้เสนอไป และมองที่ประชาชนเป็นสำคัญ เพื่อพาประเทศฝ่าวิกฤตไปได้ด้วยกัน" นายปริญญ์ กล่าว