นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยผลการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อน 5G แห่งชาติ ครั้งที่ 2/2564 (ผ่านระบบ Video Conference) โดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม กล่าวว่าแก้ปัญหาของประเทศขณะนี้ต้องพึ่งพาเทคโนโลยีดิจิทัล 5G มาใช้ในการทำงานและแพตลฟอร์มต่างๆ
เทคโนโลยี 5G เป็นเรื่องใหม่ที่จะเป็นโอกาสขับเคลื่อนให้เกิดการเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะในสถานการณ์โควิด-19 จะต้องมีการถ่ายทอดองค์ความรู้การใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีให้ประสบผลสำเร็จ รวมทั้งต้องทำให้ประชาชนทุกคนมีโอกาสในการใช้ประโยชน์จาก 5G อย่างเท่าเทียม ส่งเสริมคนรุ่นใหม่ หรือ Startup ให้ตระหนักถึงการดำเนินงานขับเคลื่อน 5G ของภาครัฐ และทุกภาคส่วนต้องร่วมมือกันในการสร้างกำลังคนด้านดิจิทัลให้เพียงพอและมีทักษะในการใช้งานเทคโนโลยีดิจิทัลในการปฏิบัติงานได้
ดังนั้น ที่ประชุมมีมติเห็นชอบการดำเนินโครงการนำร่องการพัฒนาย่านเทคโนโลยี 5G ต้นแบบสำหรับให้บริการประชาชน (5G District) จังหวัดเชียงใหม่ใน 2 ด้าน 1.ด้านการเดินทาง (5G Mobility) การสร้างบริการผ่านการให้บริการในแอปพลิเคชันเดียว อาทิ รถเมล์ รถแดง รถแท็กซี่รถตู้รับจ้าง รถมอเตอร์ไซค์รับจ้าง รถเช่า และรถรับจ้างอื่นๆ เป็นต้น
และ 2.ด้านสุขภาพ (5G Healthcare) จัดตั้ง 5G Hospital ยกระดับอุปกรณ์ Telemedicine ในพื้นที่ห่างไกลให้รองรับเทคโนโลยี 5G และใช้อุปกรณ์ Digital Health ต่าง ๆ เพื่อช่วยให้แพทย์และ/หรือ บุคลากรทางการแพทย์สามารถทำการวินิจฉัยอาการทางไกล
ทั้งนี้ ที่ประชุมมีมติเห็นชอบโครงการ 5G Use Case ระบบในการคัดกรองและแจ้งเตือน สำหรับ Phuket Sandbox เตรียมความพร้อมในการเปิดเศรษฐกิจท่องเที่ยวจังหวัดภูเก็ต โดยมอบหมายให้มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์เป็นผู้ดำเนินการ พร้อมมอบหมายให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม โดย รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เป็นประธานการบูรณาการระบบการลงทะเบียนนักท่องเที่ยวให้เป็น single sign-on เพื่อลดการกรอกข้อมูลซ้ำซ้อน
ที่ประชุมยังได้รับทราบและติดตามความคืบหน้าโครงการนำร่องการใช้ประโยชน์ 5G ของประเทศไทยในระยะสั้น ได้แก่ 1.โครงการนำร่องเกษตรดิจิทัลด้วยเทคโนโลยี 5G ณ ศูนย์ฝึกอบรมผาหมี จ.เชียงราย ซึ่งนายกรัฐมนตรีแนะนำให้มีการขยายการดำเนินการในลักษณะดังกล่าวไปในพื้นที่อื่นด้วย และ 2.โครงการนำร่องโรงพยาบาลอัจฉริยะ (Smart Hospital) ณ โรงพยาบาลศิริราช ให้เน้นคุณภาพบริการและรักษาพยาบาลตั้งแต่ระบบปฐมภูมิ ทุติยภูมิ และตติยภูมิ ซึ่งต้องให้ประชาชนทุกกลุ่มเข้าถึงระบบบริการรักษาพยาบาลอย่างเพียงพอทั่วถึง สร้างความเท่าเทียมในด้านโอกาสและเป็นธรรม โดยขยายการดำเนินการไปสู่โรงพยาบาลอื่น ๆ ต่อไปด้วย และโครงการส่งเสริมการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี 5G ในภาคอุตสาหกรรม
นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรี ย้ำว่า ขณะนี้โลกกำลังเปลี่ยนแปลงไปสู่การใช้เทคโนโลยีดิจิทัล และ AI ประเทศไทยต้องมีการเตรียมความพร้อมเรื่องนี้ให้ทันกับสถานการณ์ที่เกิด รวมถึงการเตรียมทรัพยากรบุคคลให้มีขีดความสามารถศักยภาพเพิ่มขึ้นรองรับการพัฒนาประเทศและเทคโลยีดิจิทัล ผลิตคนให้สอดคล้องการความต้องการของตลาดและผู้ประกอบการ ควบคู่กับการสร้างเรียนรู้และฝึกอบรมคนหรือแรงงานไทยที่ยังเข้าไม่ถึงเทคโนโลยีให้สามารถที่จะทำงานร่วมกับเครื่องจักรหรือเทคโนโลยีสมัยใหม่ได้ เพื่อสามารถที่จะอยู่ได้และไม่เกิดปัญหาคนตกงานตามมาภายหลัง และแก้ปัญหาการขาดแคลนแรงงานของประเทศในอนาคตด้วย