นายสมเกียรติ ประจำวงษ์ เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) เปิดเผยว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้อำนวยการกองอำนวยการน้ำแห่งชาติ สั่งการให้กองอำนวยการน้ำแห่งชาติ (กอนช.) ประเมินแนวโน้มการเกิดปรากฏการณ์ลานีญาที่มีนักวิชาการแสดงความกังวลและให้ข้อสังเกตว่ามีโอกาสเกิดขึ้นในช่วงปลายปีนี้ และหากเกิดฝนตกหนักในรอบ 1,000 ปีเช่นเดียวกับหลายประเทศที่ประสบอุทกภัยหนักขณะนี้ โดยเฉพาะหากตกในพื้นที่กรุงเทพฯ
โดย กอนช.ได้รายงานการติดตามและประเมินสภาพภูมิอากาศ ร่วมกับกรมอุตุนิยมวิทยาและสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ พบว่า สถานการณ์ภาพรวมช่วงฤดูฝนปี 64 สภาพอากาศมีลักษณะคล้ายคลึงกับปี 51 โดยช่วงต้นฤดูฝนในเดือน พ.ค.-ก.ค.64 จะมีปริมาณฝนน้อยเสี่ยงเกิดภาวการณ์ขาดแคลนน้ำ และจะมีฝนตกหนักในเดือน ก.ย.-ต.ค.64 เสี่ยงเกิดอุทกภัยบริเวณภาคเหนือตอนล่าง ภาคกลาง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคตะวันออก ส่วนช่วงปลายปีเดือน พ.ย.-ธ.ค.64 จะเกิดฝนตกหนักเสี่ยงเกิดน้ำท่วมบริเวณภาคใต้ สำหรับปริมาณฝนปี 51 นั้นมีค่าน้อยกว่าปี 54 ที่เกิดอุทกภัยครั้งใหญ่
"การคาดการณ์ปรากฏการณ์ลานีญานั้น กรมอุตุนิยมวิทยาได้คาดการณ์ปรากฏการณ์เอนโซอยู่ในสภาวะปกติต่อเนื่องถึงเดือน ต.ค.64 จากนั้นมีโอกาสพัฒนาเป็นปรากฏการณ์ลานีญาในสภาวะอ่อนๆ ช่วงเดือน พ.ย.-ธ.ค.64 ซึ่งมีผลให้เกิดฝนตกเพิ่มขึ้นบริเวณภาคใต้ และจากการคาดการณ์ฝน ONE MAP ช่วงเดือน ส.ค.-ธ.ค. มีค่าฝนเฉลี่ยมากสุดในเดือน ก.ย.64 ที่มีปริมาณ 260 มิลลิเมตรเท่านั้น ดังนั้นโอกาสที่ กทม.จะเกิดเหตุการณ์ฝนตกหนักในรอบ 1,000 ปี หรือเกิน 350 มิลลิเมตรต่อวัน จึงมีความน่าจะเป็นน้อยมาก" นายสมเกียรติ กล่าว
สำหรับปริมาณฝนสะสมตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.จนถึงปัจจุบันพบว่า ยังคงมีค่าต่ำกว่าค่าปกติ และจากอิทธิพลพายุโซนร้อน "เจิมปากา" มีผลทำให้ลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้พัดผ่านประเทศไทยมีกำลังแรงส่งผลให้เกิดฝนตกหนัก คาดการณ์ว่าจะมีปริมาณน้ำไหลเข้าแหล่งน้ำทั่วประเทศไทยช่วงวันที่ 20-27 ก.ค.64 จะได้ปริมาณน้ำรวม 1,830 ล้านลูกบาศก์เมตร แยกเป็น ภาคเหนือ 448 ล้านลูกบาศก์เมตร ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 329 ล้านลูกบาศก์เมตร ภาคตะวันตก 916 ล้านลูกบาศก์เมตร ภาคตะวันออก 41 ล้านลูกบาศก์เมตร ภาคกลาง 13 ล้านลูกบาศก์เมตร ภาคใต้ 86 ล้านลูกบาศก์เมตร โดยทั้งประเทศมีปริมาณน้ำรวม 36,445 ล้านลูกบาศก์เมตร (44%) และยังสามารถรองรับน้ำได้อีก 45,643 ล้านลูกบาศก์เมตร
อย่างไรก็ตาม แม้พายุ "เจิมปากา" ไม่เข้าไทยโดยตรง ปัจจุบันได้เคลื่อนตัวปกคลุมบริเวณชายฝั่งประเทศเวียดนามตอนบนและอ่าวตังเกี๋ย และได้อ่อนกำลังลงเป็นหย่อมความกดอากาศต่ำกำลังแรงแล้ว ประกอบกับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ภาคใต้ และอ่าวไทย ส่งผลทำให้ภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่งบริเวณจังหวัดเลย หนองคาย บึงกาฬ หนองบัวลำภู อุดรธานี สกลนคร นครพนม ชัยภูมิ ขอนแก่น กาฬสินธุ์ มุกดาหาร มหาสารคาม ร้อยเอ็ด ยโสธร อำนาจเจริญ และอุบลราชธานี กอนช.ได้เน้นย้ำทุกหน่วยงานติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและเร่งดำเนินการตามแผนปฏิบัติการ 10 มาตรการรับมือฤดูฝนโดยเร็ว เพื่อบริหารจัดการน้ำ การป้องกันผลกระทบ และเตรียมพร้อมให้ความช่วยเหลือพื้นที่เสี่ยงภัยต่างๆ อย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งติดตามสถานการณ์แนวโน้มพายุหมุนเขตร้อนที่คาดว่าในปีนี้จะเคลื่อนตัวเข้าสู่ประเทศไทย 2-3 ลูก ในช่วงเดือน ส.ค.-ก.ย.64 คาดการณ์ปริมาณฝนด้วยแผนที่ ONE MAP วิเคราะห์พื้นที่เสี่ยงอุทกภัยและขาดแคลนน้ำช่วงเดือน ส.ค.-ธ.ค.64 เพื่อให้หน่วยงานรับผิดชอบดำเนินการเชิงป้องกันได้ตรงเป้าหมายและลดผลกระทบที่เกิดขึ้นได้ตรงจุดและทันสถานการณ์
เลขาธิการ สทนช.กล่าวว่า สำหรับพื้นที่เปราะบางในเขตกรุงเทพฯ กอนช.ได้กำหนดมาตการเตรียมการป้องกันผลกระทบน้ำท่วม โดยได้บูรณาการหน่วยงานเกี่ยวข้องโดยเฉพาะจุดรอยต่อ และจุดเสี่ยงได้รับผลกระทบต่างๆ เพื่อทำงานเชิงป้องกันล่วงหน้ารองรับสถานการณ์ให้เป็นไปตามมติ ครม. เพื่อป้องกันปัญหาน้ำท่วมขังรอการระบาย เนื่องจากระบบระบายน้ำสามารถรองรับฝนตกได้เพียง 100-120 มม.ต่อวัน หากฝนตกมากกว่านี้ จะเกิดน้ำนองท่วมขังไม่สามารถระบายน้ำได้ทัน ต้องเร่งสูบระบายน้ำ ซึ่งปัจจุบันมีเครื่องสูบน้ำจำนวน 1,121 เครื่อง มีศักยภาพสามารถระบายน้ำได้ 807 ลบ.ม./วินาที ประกอบด้วย 5 แนวทางหลัก คือ 1.ปรับปรุงเพิ่มระบบระบายน้ำเพื่อให้สามารถรองรับปริมาณน้ำฝนที่อาจเกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงสภาพพื้นที่ของเมือง และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ได้แก่ การก่อสร้างอุโมงค์ระบายน้ำขนาดใหญ่ การจัดหาพื้นที่หน่วงน้ำ (แก้มลิง) การเพิ่มประสิทธิภาพท่อระบายน้ำ รวมถึงการใช้ระบบตรวจวัดข้อมูลอัตโนมัติเพื่อช่วยสนับสนุนการตัดสินใจในการบริหารจัดการน้ำ 2.การล้างท่อระบายน้ำ สิ่งกีดขวางทางน้ำ ขุดลอกคลอง และบำรุงรักษาเครื่องสูบน้ำสถานีสูบน้ำ และจัดเตรียมเครื่องสูบน้ำชนิดเคลื่อนที่ 3.การวางแผนป้องกันและแก้ไขปัญหาหากมีเหตุไฟฟ้าขัดข้อง จะมีหน่วยงานเร่งด่วนที่สามารถเข้าแก้ไขปัญหาในพื้นที่ได้ทันที 4.การจัดตั้งคณะทำงานเพื่อประสานงานแก้ไขปัญหาจราจรในพื้นที่กรุงเทพฯ โดยมีกองบังคับการตำรวจจราจร สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เป็นศูนย์กลาง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อประสานงานและแก้ไขปัญหา 5.การจัดทำแผนเผชิญเหตุน้ำท่วมเป็นบริเวณกว้างเกินศักยภาพระบบระบายน้ำ เพื่อให้ประชาชนได้รับผลกระทบน้อยที่สุดในช่วงฤดูฝนนี้