ที่ประชุมคณะกรรมการร่วม 3 ฝ่ายแก้ปัญหามลภาวะทางเสียงรอบท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ มีมติให้เสนอคณะกรรมการ บมจ.ท่าอากาศยานไทย(AOT)หรือ ทอท.ให้รับซื้อที่ดินและสิ่งปลูกสร้างของประชาชนที่อยู่ในเขต NEF 30-40 ซึ่งต้องการขายคืนทุกราย
สำหรับอาคารบ้านเรือนที่อ่อนไหวต่อผลกระทบด้านเสียงในพื้นที่ระดับ NEF 30-40 หรือเสียงระดับ 70-90 เดซิเบลเอ อยู่จำนวน 18,293 อาคาร/เรือน และพื้นที่ผลกระทบเสียงมากกว่า NEF 40 หรือเสียงระดับ 90 เดซิเบลเอ มีอยู่จำนวน 766 อาคาร/เรือน
"ประชาชนที่อยู่ในเขตพื้นที่ NEF 30-40 นั้น ที่ประชุมมีมติให้เสนอไปยังบอร์ดทอท.เพื่อแก้ไขข้อความจากเดิมที่กำหนดว่าทอท.จะพิจารณารับซื้อคืนเป็นรายๆ ไป เปลี่ยนเป็น ทอท.จะต้องรับซื้อคืนทุกรายที่ประสงค์จะขายที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง"นายชัยสวัสดิ์ กิตติพรไพบูลย์ ปลัดกระทรวงคมนาคม กล่าว
ทั้งนี้ ที่ประชุมฯ ได้เร่งรัดให้ทอท.เร่งจ่ายเงินค่าชดเชยให้กับประชาชนในเขตพื้นที่เกิน NEF 40 อย่างรวดเร็ว โดยให้ยึดมติคณะรัฐมนตรี(ครม.)เมื่อวันที่ 29 พ.ค.50 รวมทั้งให้เก็บข้อมูลในทุกเส้นเสียง เพื่อจัดลำดับการจ่ายเงินชดเชยให้กับประชาชนต่อไป
นอกจากนี้ ที่ประชุมยังมีมติให้ ทอท.จัดประชุมให้ความรู้กับประชาชนในทุกระดับเสียงว่ามีผลกระทบหรือมีผลเสียอย่างไรในการดำเนินชีวิต เพื่อเป็นแนวทางให้พิจารณาว่าควรอาศัยอยู่ต่อไปหรือควรย้ายที่อยู่ หรือควรปรับปรุงบ้านเรือน โดยมอบหมายให้อาจารย์จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยและแพทย์จากกระทรวงสาธารณสุขมาให้ความรู้ในเรื่องเหล่านี้ และมีตัวแทนจากสภาทนายความมาให้ความรู้ด้านกฎหมายแก่ประชาชนด้วย โดยเริ่มตั้งแต่วันที่ 7 ต.ค.นี้
ด้านนายชัยศักดิ์ อังค์สุวรรณ อธิบดีกรมการขนส่งทางอากาศ กล่าวว่า ในการประชุมครั้งต่อไปจะมีการเสนอแนวทางแก้ไขปัญหาระยะยาวในการซื้อคืนที่ดินและสิ่งปลูกสร้างทั้งด้านหนือและด้านใต้ ระยะทาง 7-10 กิโลเมตร เพื่อเป็นการนำพื้นที่ไปใช้ประโยชน์ต่อกิจกรรมด้านการบิน
ส่วนแหล่งเงินทุนที่จะนำมาใช้อาจเป็นกลุ่มธุรกิจที่สนใจลงทุน ภาครัฐ หรือ ทอท. แต่ต้องได้รับการยินยอมจากประชาชนหาก ทอท.ต้องการจะซื้อคืน และให้รายงานไปยัง รมว.คมนาคม เพื่อเสนอ ครม.พิจารณาต่อไป
นายวันชาติ มานะธรรมสมบัติ แกนนำประชาชนซึ่งเป็นหนึ่งในคณะกรรมการร่วม 3 ฝ่ายฯ กล่าวว่า ประชาชนที่ได้รับผลกระทบส่วนใหญ่ประมาณ 70% ต้องการให้ปรับปรุงที่อยู่อาศัยเพื่อลดผลกระทบจากเสียง
ส่วนแนวทางแก้ไขปัญหาระยะยาว ซึ่งจะมีการรับซื้อคืนทุกหลังคาเรือนทั้งด้านเหนือและด้านใต้นั้นเป็นประโยชน์กับชุมชน โดยราคาที่อยู่อาศัยส่วนใหญ่อยู่ที่ระดับ 5-10 ล้านบาทเท่านั้น หากรัฐบาลหรือบริษัทเอกชนเห็นว่าคุ้มค่าก็ควรลงทุนต่อไป
--อินโฟเควสท์ โดย คคฦ/ธนวัฏ/ศศิธร โทร.0-2253-5050 ต่อ 345 อีเมล์: sasithorn@infoquest.co.th--