สนช.ผ่านร่าง พ.ร.บ.องค์การกระจายเสียงฯ ส่งผลให้ TITV เป็นทีวีสาธารณะ

          ที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) มีมติ 106 ต่อ 44 เสียงผ่านความเห็นชอบร่าง พ.ร.บ.องค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย ซึ่งจะเป็นผลให้สถานีโทรทัศน์ทีไอทีวี(TITV) แปรสภาพเป็นทีวีสาธารณะ หลังจากใช้เวลาในการพิจารณากว่า 4 ชั่วโมง
          ในการพิจารณาร่างกฎหมายดังกล่าวที่ผ่านการพิจารณาของคณะกรรมาธิการฯ มาแล้วนั้น นายอรรคพล สรสุชาติ สมาชิก สนช.กล่าวว่า ไม่เห็นด้วยกับมาตรา 8 ที่ห้ามไม่ให้มีการเก็บรายได้จากค่าสมาชิกหรือหารายได้จากการโฆษณาสำหรับทีวีสาธารณะ เพราะเกรงว่าเงินอุดหนุนของรัฐจำนวน 2,000 ล้านบาทจะไม่เพียงพอต่อการบริหารจัดการ โดยยกตัวอย่างกรณีของสถานีโทรทัศน์บีบีซีของอังกฤษที่ต้องประสบภาวะขาดทุนจนต้องปลดพนักงานออกเป็นจำนวนมาก
          นอกจากนี้ ยังเห็นว่าน่าจะใช้สถานีโทรทัศน์ช่อง 11 เป็นทีวีสาธารณะมากกว่าสถานีโทรทัศน์ทีไอทีวี เนื่องจากเห็นว่าที่ผ่านมา ช่อง 11 ไม่ได้ผลิตรายการเองอยู่แล้ว อีกทั้งสถานีโทรทัศน์ทีไอทีวียังมีข้อพิพาทฟ้องร้องกันอยู่ และก่อนหน้านี้ที่ยังเป็นสถานีโทรทัศน์ไอทีวี(ITV) ก็มีรายได้กว่าปีละ 100 ล้านบาท หากไม่มีการยกเลิกสัมปทานหรือแปรสภาพก็น่าจะมีรายได้ถึงปีละ 1,000 ล้านบาท แต่หลังแปรสภาพเป็นทีวีสาธารณะแล้วรัฐบาลต้องนำเงินภาษีไปสนับสนุนถึงปีละ 2,000 ล้านบาท
          ด้านคุณหญิงทิพาวดี เมฆสวรรค์ รมว.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ชี้แจงว่า ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาได้ดำเนินการดูแลและพิจารณากฎหมายด้วยความถูกต้องชอบธรรม และรับฟังทุกความเห็นที่มีการเสนอมา แต่ที่ไม่พิจารณาเลือกช่อง 11 เพราะว่าภารกิจส่วนใหญ่ของสถานีเป็นการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารทางราชการ โดย 1 ใน 3 ของการออกอากาศ คือ การถ่ายทอดสด และการให้หน่วยงานอื่นๆ เช่าเวลา 
          ส่วนคดีความของสำนักปลัดสำนักนายกรัฐมนตรียังอยู่ในข้อพิพาทกับบริษัทเอกชนจะเป็นหน้าที่ของสำนักปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีที่จะดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป โดยใช้งบประมาณของสถานีโทรทัศน์สาธารณะในการจ่ายค่าต่อสู้คดี
          คุณหญิงสุพัตรา มาศดิศต์ กรรมาธิการฯ กล่าวว่า ส่วนตัวเห็นด้วยที่จะให้ช่อง 11 มาเป็นทีวีสาธารณะ แต่เนื่องจากรัฐบาลชุดนี้มีเวลาจำกัดไม่สามารถทำได้ อีกทั้งหากรัฐบาลใหม่เข้ามาก็จะต้องสร้างสื่อเพื่อเป็นเครื่องมือ ซึ่งจะต้องใช้งบประมาณจำนวนมาก ดังนั้นจึงเห็นว่าควรจะพัฒนาช่อง 11 ให้มีประสิทธิภาพเหมือนกับทีวีสาธารณะ แต่ยังอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของรัฐบาล แล้วให้รัฐบาลใหม่ที่เข้ามาพิจารณาแทน