นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยภายหลังนางลินดา โธมัส-กรีนฟิลด์ (H.E. Mrs. Linda Thomas-Greenfield) เอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรสหรัฐฯ ประจำสหประชาชาติ เข้าพบ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม เนื่องในโอกาสเดินทางเยือนประเทศไทย ในฐานะแขกของกระทรวงการต่างประเทศ
โดย พล.อ.ประยุทธ์ ได้ขอบคุณรัฐบาลสหรัฐฯ ในการบริจาควัคซีนกว่า 1.5 ล้านโดส สะท้อนให้เห็นถึงมิตรภาพของทั้งสองประเทศที่มีมาอย่างยาวนาน รวมถึงพื้นฐานความร่วมมือด้านสาธารณสุขที่แนบแน่น และเป็นประโยชน์ร่วมกัน ซึ่งเอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรสหรัฐฯ กล่าวว่า สหรัฐฯ จะมอบวัคซีนเพิ่มเติมให้ไทยอีก 1 ล้านโดสเร็ว ๆ นี้ และจะมอบความช่วยเหลือมูลค่า 5 ล้านเหรียญสหรัฐ ให้กับไทย เพื่อสนับสนุนการต่อสู้กับโรคโควิด-19 ด้วย
ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีคาดหวังให้ไทย-สหรัฐฯ มีการแลกเปลี่ยนการติดต่อกันอย่างต่อเนื่องต่อไป พร้อมฝากแสดงความขอบคุณประธานาธิบดีโจ ไบเดน สำหรับความร่วมมือและความสนับสนุนที่สหรัฐฯ มีให้กับไทยมาตลอด โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อสถานการณ์โควิด-19 พร้อมเน้นย้ำว่า รัฐบาลไทยและสหรัฐฯ มีจุดร่วมด้านนโยบายที่สอดคล้องกัน และสามารถร่วมมือกันได้ในหลายประเด็น รวมถึงความร่วมมือด้านการพัฒนาทั้งในระดับทวิภาคี ภูมิภาค และอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง ตลอดจนความร่วมมือในกรอบพหุภาคีอย่างสหประชาชาติ เพื่อรับมือกับความท้าทายต่าง ๆ ทั้งในปัจจุบันและอนาคต
ด้านเอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรสหรัฐฯ กล่าวว่า ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ฝากความระลึกถึง และยืนยันว่าสหรัฐฯ ให้ความสำคัญกับการดำเนินความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับไทย ในฐานะมิตรประเทศที่ใกล้ชิดยาวนาน รวมทั้งให้ความสำคัญกับภูมิภาคอินโดแปซิฟิก ตลอดจนชื่นชมบทบาทนำของไทยในภูมิภาคนี้ ซึ่งเอกอัครราชทูตฯ กล่าวถึงความสัมพันธ์ไทย-สหรัฐฯ ว่ามีอนาคตที่ผูกไว้ด้วยกัน
สำหรับสถานการณ์โควิด-19 เอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรสหรัฐฯ ได้กล่าวว่า เป็นช่วงเวลาสำคัญที่ทุกฝ่ายเผชิญกับความยากลำบาก ดังนั้นความร่วมมือกันจึงเป็นสิ่งสำคัญ พร้อมกับชื่นชมรัฐบาลไทยที่ได้จัดสรรวัคซีนไฟเซอร์ที่สหรัฐฯ ได้มอบให้อย่างรวดเร็ว และเหมาะสม ซึ่งจะเป็นส่วนสนับสนุนมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของไทย
ทั้งนี้ ทั้งสองฝ่ายได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นต่อสถานการณ์ในเมียนมา และเห็นพ้องถึงการให้ความช่วยเหลือทางด้านมนุษยธรรมแก่เมียนมา ซึ่งนายกรัฐมนตรี ยืนยันว่าไทยในฐานะประเทศเพื่อนบ้านได้ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะบริเวณชายแดนไทย-เมียนมา ไทยพร้อมที่จะให้ความร่วมมือกับประชาคมระหว่างประเทศ และสหรัฐฯ เพื่อให้เกิดการแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืน
พร้อมยืนยันว่า ไทยยินดีให้ความช่วยเหลือแก่ผู้หนีภัยจากประเทศเพื่อนบ้าน และผู้ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ดังกล่าว ตามหลักการด้านมนุษยธรรม โดยสหรัฐฯ เชื่อมั่นในการดำเนินการของไทย