นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ยืนยันว่า การจัดสรรวัคซีนป้องกันโควิด-19 ไฟเซอร์ เป็นไปตามจำนวนที่มีการสำรวจและจัดสรรให้กับกลุ่มเป้าหมายตามที่เคยระบุไว้ก่อนหน้านี้ ซึ่งเมื่อจัดส่งให้กับพื้นที่ต่างๆ ต้องดำเนินการตามนโยบายในการให้บริการวัคซีนไฟเซอร์กับกลุ่มเป้าหมายก่อน ดังนั้นเมื่อมีข้อร้องเรียนว่าการจัดสรรวัคซีนให้กับกลุ่มนอกเป้าหมายที่ไม่ได้กำหนดไว้ ขอให้ทางคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด ไม่ว่าจังหวัดใดก็ตามหากมีเรื่องลักษณะนี้ให้เร่งตรวจสอบข้อเท็จจริงดังกล่าว
"เมื่อคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดตรวจสอบแล้ว ขอให้รวบรวมข้อมูลส่งเรื่องเข้ามาที่กระทรวงสาธารณสุข ซึ่งมีคณะทำงานด้านบริหารจัดการการให้บริการวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 กรณีวัคซีนไฟเซอร์จะพิจารณาเรื่องนี้ต่อไป เนื่องจากตามนโยบายการฉีดวัคซีนไฟเซอร์ล็อตนี้ต้องเป็นไปตามกลุ่มเป้าหมายที่กำหนด โดยต้องเน้นกลุ่มบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขที่ปฏิบัติงานดูแลผู้ป่วยโควิดก่อน และกลุ่มเสี่ยง" นพ.โอภาส กล่าว
สืบเนื่องจากกรณีสังคมออนไลน์มีการเผยแพร่ข้อมูลว่า หลังจากกระทรวงสาธารณสุขมีการจัดสรรวัคซีนไฟเซอร์ล็อต 1.5 ล้านโดสที่สหรัฐอเมริกาสนับสนุนไปยังพื้นที่ต่างๆ ตามกลุ่มเป้าหมาย พบว่าในพื้นที่จังหวัดสุรินทร์มีการจัดสรรวัคซีนให้นอกกลุ่มเป้าหมาย ซึ่งเป็นสายงาน Back office ทำหน้าที่ด้านเอกสารได้รับวัคซีนก่อนบุคลากรด่านหน้าที่ดูแลผู้ป่วยโควิด 19 โดยตรง
สำหรับสถานการณ์การฉีดวัคซีนโควิดในประเทศไทย ตั้งแต่วันที่ 28 ก.พ.ถึงวันที่ 14 ส.ค.2564 เวลา 18.00 น. มีผู้รับบริการฉีดวัคซีนไปแล้วจำนวน 23,476,869 โดส หากแยกรายละเอียดเข็มที่ 1 จำนวน 17,879,206 ราย หรือคิดเป็น 24.8% ส่วนผู้รับบริการที่ฉีดวัคซีนครบ 2 เข็มมีจำนวน 5,073,672 ราย หรือคิดเป็น 7%
สำหรับแนวทางการบริหารจัดการวัคซีนไฟเซอร์จะฉีดให้กับ 4 กลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ 1.บุคลากรทางการแพทย์ด่านหน้าที่ดูแลรักษาผู้ป่วยโควิด 19 2.ผู้สูงอายุและกลุ่มผู้ป่วย 7 โรคเรื้อรังอายุ 12 ปีขึ้นไป หญิงตั้งครรภ์อายุครรภ์ 12 สัปดาห์ขึ้นไป 3.ชาวต่างชาติที่อาศัยในประเทศไทย เน้นผู้สูงอายุและโรคเรื้อรัง 4.ผู้ที่มีความจำเป็นต้องฉีดวัคซีนไฟเซอร์ก่อนเดินทางไปต่างประเทศ เช่น นักเรียน นักศึกษา นักกีฬา นักการทูต เป็นต้น