ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) มีมติให้ทุกพื้นที่คงระดับพื้นที่สถานการณ์ย่อยในพื้นที่ทั่วราชอาณาจักรในมาตรการเดิมตั้งแต่วันที่ 18-31 ส.ค. โดยเฉพาะมาตรการสำหรับพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเช้มงวด (สีแดงเข้ม) ที่จะจำกัดการเดินทาง และห้ามออกจากเคหะสถานหลังเวลา 21.00 น.
อย่างไรก็ตาม ศบค.ให้ปรับมาตรการในพื้นที่สีแดงเข้มให้สามารถเปิดกิจการธนาคารและสถาบันการเงินในห้างสรรพสินค้าได้
นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษก ศบค. เปิดเผยว่า ที่ประชุมของศบค.ชุดใหญ่ ที่มีพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้อำนวยการ ศบค.เป็นประธานมีมติให้ทุกพื้นที่คงระดับพื้นที่สถานการณ์ย่อยในพื้นที่ทั่วราชอาณาจักรในมาตรการเดิมตั้งแต่วันที่ 18-31 ส.ค.นี้ โดยเฉพาะมาตรการสำหรับพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด (สีแดงเข้ม) ที่จะจำกัดการเดินทาง และห้ามออกจากเคหะสถานหลังเวลา 21.00 น.
อย่างไรก็ตาม ศบค.ให้ปรับมาตรการในพื้นที่สีแดงเข้มให้สามารถเปิดกิจการธนาคารและสถาบันการเงินในห้างสรรพสินค้าได้ ไม่เกินเวลา 20.00 น.โดยมีมาตรการอย่างเคร่งครัด 26 ข้อตามที่สมาคมศูนย์การค้าไทยจัดทำไว้
ส่วนเรื่องของการเปิดขายเครื่องใช้ไฟฟ้าในที่ประชุมศบค.รับฟัง แต่กระทรวงสาธารณสุขมองว่า ยังมีทางเลือกอื่น เช่น การสั่งเครื่องใช้ไฟฟ้าผ่านทางช่องทางออนไลน์ ยังสามารถที่จะใช้ทดแทนกันได้ อย่างไรก็ตาม มาตรการครั้งต่อไปอาจจะมีการพิจารณาเข้ามาอีกรอบหากมีความจำเป็น ส่วนมาตรการอื่นๆยังคงเดิมตามที่เคยกำหนดเมื่อครั้งที่แล้ว เช่น การออกนอกเคหสถาน การห้ามนั่งรับประทานอาหารในร้านอาหาร เป็นต้น
ทั้งนี้ ยังคงเน้นมาตรการ Work From Home ต่อเนื่อง และพนักงานของภาครัฐและเอกชน ที่จำเป็นต้องปฏิบัติงานให้มีการคัดกรองด้วย ATK ทุกสัปดาห์ เพื่อให้มีความพร้อมก่อนการคลายล็อกดาวน์ และให้มีการเตรียม Company Isolation สำหรับหน่วยงานที่มีพนักงานเกิน 50 คน และเตรียมความพร้อมของบุคลากรในการติดตามคัดกรองด้วย ATK และลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ HI และ CI รวมถึงกำกับติดตามด้วย DMHTTA
ส่วนในโรงงานและสถานประกอบการที่มีพนักงานเกิน 100 คน ให้พิจารณาดำเนินการ Bubble & Seal เต็มรูปแบบ ส่วนตลาดทั้งค้าส่งและค้าปลีก ให้มีการคัดกรอง ATK ทั้งผู้ค้า แรงงานทุกสัปดาห์ และให้มีการสุ่มตรวจผู้มาใช้บริการเป็นระยะ
สำหรับการลดการเสียชีวิต ได้มีมติให้เร่งวัคซีนให้ครอบคลุมกลุ่มสูงอายุ 60 ปีขึ้นไป กลุ่ม 7 โรคเรื้อรัง และคนตั้งครรภ์ อย่างน้อย 80% ในกทม. และอย่างน้อย 70% ใน 12 จังหวัด และอย่างน้อย 50% ในพื้นที่อื่นๆ และให้เพิ่มอัตราหมุนเวียนการรับผู้ป่วยสีเหลือง สีแดง เพื่อลดผู้ป่วยที่รอคอยและอาการหนักในโรงพยาบาล และเร่งจ่ายยาฟาวิพิราเวียร์ สำหรับผู้ป่วยสีเขียว
นอกจากนี้ การเพิ่มมาตรการและการจัดการขององค์กร สถานประกอบการสามารถตรวจหาเชื้อ โควิด-19 ด้วยตัวเองได้ โดยรัฐควรสนับสนุนให้มีการใช้โดยไม่เป็นภาระประชาชน เช่น จำหน่ายในราคาถูก และจัดหาได้ง่าย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำแนวทางการดำเนินงานให้สอดคล้องกับข้อกำหนดเดิมที่มีอยู่ต่อไป รวมทั้งพิจารณาร่วมจัดทำ Thai Covid Pass ซึ่งเป็นเอกสารรับรองการฉีดวัคซีนเพื่อเตรียมความพร้อมรองรับการเปิดประเทศ เช่น การเดินทางไปร้านอาหารในห้องแอร์ สามารถเปิดบริการได้ สำหรับคนที่ฉีดวัคซีนครบแล้ว ซึ่งในหลายประเทศได้มีการทำแล้ว
นอกจากนี้ที่ประชุมศบค.รับทราบมาตรการป้องกันควบคุมในพื้นที่เฉพาะ Bubble & Seal โดยมอบหมายให้กระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมกับกระทรวงแรงงาน กระทรวงมหาดไทย และกระทรวงสาธารณสุข ไปดำเนินการ และโครงการนำร่องการป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดในโรงงาน Factory Sandbox โดยมอบหมายให้กระทรวงแรงงาน ร่วมกับกระทรวงมหาดไทยและกระทรวงสาธารณสุข ไปดำเนินการ และให้ศบค.จัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการด้านการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินในส่วนที่เกี่ยวกับการป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อโควิด-19 ในสถานประกอบกิจการและโรงงานอุตสาหกรรมต่อไป