สำหรับคู่มือนี้ประกอบด้วยมาตรการ 2 ส่วน ส่วนแรก คือ มาตรการบับเบิลแอนด์ซีลเพื่อการป้องกันโรค และส่วนที่สอง คือ มาตรการบับเบิลแอนด์ซีล เพื่อการควบคุมโรค
ส่วนแรก คือ มาตรการบับเบิลแอนด์ซีลเพื่อการป้องกันโรค ใช้สำหรับโรงงานที่ยังไม่มีพบผู้ปฏิบัติงานติดเชื้อ เพื่อป้องกันไม่ให้โรคแพร่ระบาดในวงกว้าง ภายใต้หลักการ จัดกลุ่ม-คุมไว-ลดการแพร่กระจาย-รายได้ไม่สูญ โดยให้ทุกแห่งดำเนินการป้องกันโรคตามมาตรการพื้นฐาน คือ
1.การตรวจคัดกรองไข้หรือพนักงานที่มีอาการป่วยเป็นประจำทุกวัน
2.มาตรการส่วนบุคคล คือ ให้พนักงานทุกคนใส่หน้ากากอนามัย ล้างมือ เว้นระยะห่าง และสุ่มตรวจหาเชื้อด้วยชุด Antigen Test Kit (ATK) ทุก 1-2 เดือน ใช้แอพพลิเคชั่นไทยชนะ และไทยเซฟไทย เพื่อสามารถติดตามประวัติการเดินทางและความสี่ยงของพนักงานทุกคน
3.การรับพนักงานใหม่ จะต้องตรวจการติดเชื้อและกักตัวเป็นเวลา 14 วันก่อนเข้าทำงาน
4.การปรับปรุงสภาพแวดล้อมภายในให้เอื้อต่อการควบคุมโรค
5.การจัดหาวัคซีนฉีดครอบคลุมพนักงานอย่างน้อย 70% เพื่อให้เกิดภูมิคุ้มกันหมู่ สำหรับการบริหารจัดการเพื่อการป้องกันโรค เน้นการจัดกลุ่มผู้ปฏิบัติงานออกเป็นกลุ่มย่อย (small bubble) ตามลักษณะการทำงานหรือการทำกิจกรรม โดยไม่ข้ามกลุ่ม เช่น จัดกลุ่ม ฝ่ายขาย ฝ่ายการผลิต ฝ่ายซ่อมบำรุง กลุ่มละ 10-20 คน เป็นต้น มีการสุ่มตรวจหาเชื้อด้วยวิธีชุดเอทีเค และตรวจยืนยันด้วยวิธี RT-PCR หากพบผลเป็นบวก ให้แยกผู้ติดเชื้อออกไปรักษา ส่วนคนที่เหลือในกลุ่มให้กักกัน (Factory Quarantine หรือ Home Quarantine) แต่ยังสามารถทำงานได้ต่อไปโดยไม่ต้องหยุดงาน
ส่วนที่สอง คือ มาตรการบับเบิลแอนด์ซีล เพื่อการควบคุมโรค ใช้สำหรับกรณีพบผู้ติดเชื้อในสถานประกอบกิจการ เพื่อเป็นการควบคุมการระบาดภายในสถานประกอบกิจการและลดการแพร่เชื้อสู่ชุมชน โดยแบ่งระดับการติดเชื้อในสถานประกอบกิจการ ได้แก่ ระดับน้อย เมื่อพบอัตราพนักงานติดเชื้อต่ำกว่า 10% ระดับปานกลาง เมื่ออัตราการติดเชื้อมากกว่า 10% และระดับมาก เมื่อมีพนักงานติดเชื้อมากกว่า 10% ของผู้ปฏิบัติงานทั้งหมด หรือมีจำนวนผู้ติดเชื้อมากกว่า 100 คนขึ้นไป หรือพบมีการติดเชื้อติดต่อกันเป็นเวลานานกว่า 14 วัน ในรอบ 28 วัน จะใช้มาตรการบับเบิ้ลแอนด์ซีลควบคุมเข้มงวด โดยแยกผู้ติดเชื้อออกเข้าสู่ระบบรักษา เช่น ที่บ้าน (Home Isolation) รพ.สนาม หรือ รพ.คู่ปฏิบัติการเมื่อมีการติดเชื้อเพิ่มขึ้น
สำหรับผู้ปฏิบัติงานที่เหลือ ให้กักกันบริเวณที่พักที่กักให้ สามารถทำงานได้แต่ต้องไม่ข้ามกลุ่ม ถ้าผู้ปฏิบัติงานมีอาการให้ตรวจชุด ATK เพื่อประเมินการติดเชื้อ ผู้ปฏิบัติงานกลุ่มอื่น ยังสามารถทำงานในกลุ่มของตนเอง และไม่ข้ามกลุ่ม การทำกลุ่มย่อย จะช่วยลดการแพร่เชื้อระหว่างกล่มและไปสู่ชุมชน กรณีผู้ปฏิบัติงานกลุ่มเปราะบางควรตรวจชุด ATK ทุกคน หากผลตรวจเป็นลบและยังไม่ได้ฉีดวัคซีน สถานประกอบกิจการควรเร่งรัดการฉีดวัคซีนให้แก่กลุ่มดังกล่าว และผู้ปฏิบัติงานที่เหลือในสถานประกอบกิจการ โดยควรมีความครอบคลุมของการฉีดวัคซีนอย่างน้อย 70% เพื่อให้เกิดภูมิคุ้มกันหมู่
นพ.อภิชาต กล่าวว่า สำหรับการใช้ชุดตรวจสอบ ATKเพื่อตรวจสอบการติดเชื้อโควิด-19 กรมควบคุมโรคได้ให้สำนักงานป้องกันควบคุมโรค (สคร.) ทั้ง 12 แห่งทั่วประเทศ และสถาบันป้องกันควบคุมโรคเขตเมือง (สปคม.) ในพื้นที่กทม. ร่วมกับสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดในพื้นที่ จัดอบรมบุคลากรของโรงงาน สถานประกอบกิจการในต่างจังหวัดและกทม. เพื่อให้มีทักษะสามารถใช้ได้อย่างถูกต้อง ทั้งด้านเทคนิควิธีการและใช้ตรวจพนักงานในรายที่มีอาการในข่ายสงสัยว่าอาจติดเชื้อโควิด เช่น มีไข้สูงกว่า 37.5 องศาเซลเซียส ไอ มีน้ำมูก เจ็บคอ หายใจเร็ว จมูกไม่ได้กลิ่น ลิ้นไม่รับรส ตาแดง มีผื่นขึ้น หรือมีประวัติสัมผัสคนติดเชื้อในช่วง14 วัน เป็นต้น
ทั้งนี้ คู่มือมาตรการฉบับนี้ เน้นการดูแลผู้ปฏิบัติงานทั้งกายและจิตใจ ด้วยการบูรณาการงานร่วมกันระหว่างกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งประกอบด้วยกรมควบคุมโรค กรมอนามัย กรมสุขภาพจิต กระทรวงมหาดไทย กระทรวงแรงงาน กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน และสมาคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สามารถดาวน์โหลดคู่มือมาตรการป้องกันควบคุมโรคในพื้นที่เฉพาะ (Bubble and Seal) สำหรับสถานประกอบกิจกาสามารถดาวน์โหลดเอกสาร ได้จาก https://ddc.moph.go.th/doed/pagecontent.php?page=739&dept=doed