นายสหวัฒน์ โสภา รองอธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม (กรอ.) กล่าวถึงกรณีการลักลอบทิ้งกากอุตสาหกรรมในพื้นที่ ต.ดีลัง อ.พัฒนานิคม จ.ลพบุรี ว่า ได้ส่งเจ้าหน้าที่ลงพื้นที่ตรวจสอบสถานที่ดังกล่าว ร่วมกับเจ้าหน้าที่จากสำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดลพบุรี เพื่อยืนยันและเก็บหลักฐานภาพถ่าย และรายละเอียดข้อเท็จจริง เพื่อหาความเชื่อมโยงกับผู้กระทำผิด โดยได้เก็บของเหลวไม่ทราบชนิดที่คาดว่าจะเป็นวัตถุอันตรายตามบัญชีวัตถุอันตราย เพื่อนำมาวิเคราะห์เพิ่มเติม เบื้องต้นทราบว่าพื้นที่ดังกล่าวเป็นของนายสุเทพ ขวัญตา เดิมมีลักษณะเป็นบ่อที่มีการขุดดินออกไปเกิดเป็นแอ่งน้ำ มีขนาดเนื้อที่ประมาณ 25 ไร่ จากการประเมินด้วยสายตาเบื้องต้นคาดว่าบ่อดังกล่าวมีความลึกประมาณ 10 เมตร ด้านหน้าติดถนนมีการกองของเสียที่มีลักษณะเป็นของเสียอุตสาหกรรม และของเสียอื่น ๆ ปะปนกัน โดยคาดว่าจะมาจากหลายแหล่งที่มา
ล่าสุด กรอ.ได้แจ้งความร้องทุกข์กล่าวโทษการลักลอบกองและฝังของเสียที่มีกลิ่นเหม็นฉุนคล้ายกลิ่นสารเคมี และพบภาชนะปนเปื้อนสารเคมี ภาชนะบรรจุสารเคมีไม่ทราบชนิด ของเสียลักษณะเป็นผงสีขาว กากสี พบบ่อน้ำเสียที่มีการปนเปื้อนโดยน้ำมีสีดำ สีแดงคล้ายสนิมเหล็ก โดยในบริเวณดังกล่าวยังพบรถแม็คโครจำนวน 2 คัน ซึ่งมีนายสุเทพ ขวัญตา เป็นเจ้าของที่ดิน ซึ่งการกระทำดังกล่าวเข้าข่ายเป็นความผิด ตาม พ.ร.บ. วัตถุอันตราย พ.ศ. 2535 มาตรา 23 วรรคหนึ่ง และ มาตรา 73 ในความผิดฐานครอบครองวัตถุอันตราย โดยไม่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่
"กรอ.ได้เก็บตัวอย่างของเหลวไม่ทราบชนิด ของเสียที่อยู่ในบริเวณดังกล่าว เพื่อนำมาวิเคราะห์และสืบหาผู้กระทำผิดซึ่งหากได้ข้อมูลรถขนส่งที่นำกากอุตสาหกรรมไปลักลอบทิ้งในบริเวณดังกล่าวแล้ว กรอ.จะร้องทุกข์กล่าวโทษต่อผู้ขนส่ง ผู้รับกำจัด ผู้ก่อกำเนิด ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด เพื่อพนักงานสอบสวนจะได้เรียกตัวเจ้าของที่ดิน เจ้าของรถ และพยานที่พบเห็นเหตุการณ์ เข้าให้ปากคำ และสืบหาต้นตอของของเสียที่นำมาลักลอบทิ้งต่อไป" นายสหวัฒน์ กล่าว
ทั้งนี้ หากประชาชนในพื้นที่มีข้อมูลเพิ่มเติม เช่น กล้องวงจรปิดตามแนวเส้นทาง ภาพถ่ายของรถต้องสงสัย สามารถประสานส่งข้อมูลมายัง กรอ.ได้ทันที ขณะเดียวกันได้ประสานไปยังกรมการขนส่งทางบก เพื่อขอข้อมูลรถบรรทุกที่ผ่านบริเวณดังกล่าวตามพิกัด GPS ว่ามีรถบรรทุกประเภทใดที่ผ่านบริเวณดังกล่าวบ้าง เพื่อจำกัดวงของผู้ต้องสงสัยให้แคบลง นอกจากนี้ จะประสานไปยังโรงงานในพื้นที่ที่มีกล้องวงจรปิด เพื่อส่งข้อมูลซึ่งอาจนำไปยังตัวผู้กระทำผิด และหากมีหลักฐานที่ครบถ้วนสมบูรณ์ จะดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายต่อไป โดยให้กำจัดของเสียเหล่านั้นและฟื้นฟูสภาพแวดล้อมให้คืนสู่สภาพปกติ