นพ.ศุภกิจ ศิริลักษณ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เปิดเผยว่า กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ร่วมกับมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ทำการศึกษาวิจัยการฉีดวัคซีนเข็มบูสเตอร์เข้าใต้ผิวหนัง โดยพบว่าการฉีดวัคซีนเข้าใต้ผิวหนังสามารถลดปริมาณวัคซีนลงจากการฉีดเข้ากล้ามเนื้อ จากเดิมที่ฉีดได้ 1 คนจะสามารถฉีดได้ 5 คน นอกจากนี้ พบว่าภูมิคุ้มกันหลังจากการฉีดวัคซีนของทั้งสองวิธีใกล้เคียงกัน ในขณะที่เกิดผลข้างเคียงโดยรวมน้อยกว่าการฉีดเข้ากล้ามเนื้อ
สำหรับผลการศึกษาวิจัยเปรียบเทียบระหว่างผู้ที่ได้รับวัคซีนซิโนแวคแล้ว 2 เข็ม และต้องฉีดเข็มกระตุ้น ในกลุ่มผู้ที่มีอายุ 18-60 ปี จำนวน 95 คน สามารถแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม ดังนี้ 1. ประชากรจำนวน 30 ราย หลังได้รับวัคซีนซิโนแวค 2 เข็มแล้ว 4-8 สัปดาห์ ได้ฉีดวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าเป็นเข็มกระตุ้น โดยฉีดแบบเข้ากล้ามเนื้อ 2. ประชากรจำนวน 31 ราย หลังได้รับวัคซีนซิโนแวค 2 เข็มแล้ว 4-8 สัปดาห์ ได้ฉีดวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าเป็นเข็มกระตุ้น โดยฉีดแบบเข้าใต้ผิวหนัง และ 3. ประชากรจำนวน 34 ราย หลังได้รับวัคซีนซิโนแวค 2 เข็มแล้วมากกว่า 8-12 สัปดาห์ ได้ฉีดวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าเป็นเข็มกระตุ้น โดยฉีดแบบเข้าใต้ผิวหนัง
จากการศึกษาพบว่าอาสาสมัครที่ฉีดวัคซีนเข้าใต้ผิวหนัง จะเกิดอาการข้างเคียงเฉพาะที่ หรืออาการบริเวณผิวหนังมากกว่าการฉีดเข้ากล้ามเนื้อ เช่น คลำแล้วเป็นไต, เจ็บ, คัน, ปวด, บวม และแดง ในขณะที่อาการทางร่างกายลดน้อยลง เช่น อาการเป็นไข้, อาเจียน, ปวดศรีษะ, อ่อนเพลีย และปวดเมื่อย ส่วนการตอบสนองภูมิคุ้มกันแอนติบอดี้ ในส่วนของระดับแอนติบอดี้ต่อเซลล์หนามแหลมของเชื้อไวรัสโควิด-19 และจากการวัดระดับแอนติบอดี้ในการยับยั้งการเข้าสู่เซลล์ของเชื้อไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์เดลตา พบว่าภูมิคุ้มกันขึ้นมาใกล้เคียงกัน ในขณะที่ใช้ปริมาณวัคซีนเพียง 1 ใน 5 เท่านั้น
นพ.ศุภกิจ กล่าวว่า ในขณะนี้ยังคงการฉีดวัคซีนในวิธีเดิม คือ ฉีดแบบเข้ากล้ามเนื้อ ยกเว้นพื้นที่ที่ต้องการประหยัดวัคซีน และมีเจ้าหน้าที่ที่ฝึกทักษะการฉีดเข้าใต้ผิวหนัง รวมทั้งสามารถจัดการบริหารเวลาได้ เนื่องจากการฉีดเข้าใต้ผิวหนังจะต้องใช้ทักษะ และเวลามากกว่าฉีดเข้ากล้ามเนื้อ
ทั้งนี้ ยังอยู่ระหว่างรอผลการศึกษาวิจัยเรื่องการฉีดวัคซีนเข้าใต้ผิวหนังจากแหล่งอื่นๆ ในประเทศไทย หากข้อมูลมีเพียงพอ และมีความจำเป็นต้องเร่งฉีดวัคซีนเข็มบูสเตอร์ด้วยทรัพยากรวัคซีนที่มีจำกัด จึงอาจจะมีการพิจารณาวิธีการฉีดวัคซีนนี้มาเป็นทางเลือกนโยบายในการฉีดวัคซีนต่อไป
ด้าน นพ.สุรัคเมธ มหาศิริมงคล ผู้อำนวยการสถาบันชีววิทยาศาสตร์ทางการแพทย์ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวว่า ผลข้างเคียงจากการฉีดวัคซีนเข็มบูสเตอร์เข้าใต้ผิวหนัง จะเกิดอาการข้างเคียงเป็นไข้อยู่ที่ 5% ซึ่งน้อยกว่าการฉีดเข้ากล้ามเนื้อที่มีอาการไข้ถึง 30% ดังนั้นในอนาคตอันใกล้ หากการทดสอบมีมากขึ้น และการฉีดเข้าใต้ผิวหนังไม่พบผลข้างเคียงบริเวณที่ฉีดแบบรุนแรงมากนัก การฉีดแบบเข้าใต้ผิวหนังจะเป็นแนวทางที่ควรนำมาใช้ เนื่องจากมีความปลอดภัยมากกว่าการฉีดเข้ากล้ามเนื้อ