นายกฯ สั่งเฝ้าระวังน้ำท่วมทั่วประเทศตลอด 24 ชม.-แนะเกษตรกรหาอาชีพเสริม

ข่าวทั่วไป Monday September 27, 2021 16:02 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก Prayut Chan-o-cha ว่า ในระยะนี้ ทั้งภาคเหนือ ภาคกลาง และภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทย ได้รับผลกระทบจากพายุโซนร้อน "เตี้ยนหมู่" ซึ่งแม้ว่าปัจจุบันจะลดระดับความรุนแรงลง แต่ก็ยังคงมีฝนกระจายหลายพื้นที่ ส่งผลให้มีมวลน้ำสะสมหลายจังหวัด อาจเกิดน้ำป่าไหลหลาก และน้ำท่วมฉับพลันได้

ทั้งนี้ รัฐบาลมีความห่วงใยต่อพี่น้องประชาชนที่ได้รับผลกระทบเป็นอย่างมาก โดยตั้งแต่ช่วงกลางเดือน ก.ย.ได้มีข้อสั่งการต่อกองบัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ (ปภ.) ให้จัดทำแผนรับมือน้ำท่วมระดับประเทศ และถ่ายทอดคำสั่งไปยังศูนย์ ปภ. แต่ละจังหวัด ให้จัดกำลังเจ้าหน้าที่ และเครื่องจักรกลสาธารณภัย เช่น เครื่องสูบน้ำ เรือยนต์กู้ภัย เรือท้องแบน รถสูบส่งน้ำระยะไกล รถปฏิบัติการบรรเทาอุทกภัย และอื่นๆ ให้พร้อมปฏิบัติการได้ทันทีในพื้นที่เสี่ยงภัยตลอด 24 ชั่วโมงด้วยชุดปฏิบัติการจากหน่วยราชการฝ่ายพลเรือน ทหาร ตำรวจ มูลนิธิ รวมถึงอาสาสมัครและประชาชนจิตอาสา เข้าคลี่คลายสถานการณ์ ตลอดจนจัดตั้งโรงครัวพระราชทานจากพระมหากรุณาธิคุณในการประกอบอาหาร การแจกจ่ายถุงยังชีพ เครื่องนุ่งห่ม และยารักษาโรค เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน

อย่างไรก็ตาม หากสถานการณ์มีแนวโน้มไม่ปลอดภัย ทาง ปภ. ของพื้นที่จะอพยพประชาชนไปยังพื้นที่ปลอดภัย หรือศูนย์พักพิง ที่จัดเตรียมไว้อย่างทันท่วงที โดยให้ฝ่ายปกครอง กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เครือข่ายอาสาสมัคร ประชาชนจิตอาสา เข้าดูแลให้ความช่วยเหลือประชาชนอย่างเป็นระบบ ตามมาตรการของกระทรวงสาธารณสุขในการป้องกันโควิด-19 ซึ่งทั้งหมดนี้ รัฐบาลกำลังดำเนินการอย่างเต็มที่เพื่อช่วยเหลือพี่น้องที่ได้รับผลกระทบให้เร็วที่สุด และได้เตรียมแผนป้องกันและรับมือสถานการณ์ฉุกเฉินที่อาจจะเกิดขึ้นกับจังหวัดอื่นๆทางตอนล่างของประเทศ รวมถึงเขตกรุงเทพฯและปริมณฑลไว้แล้วด้วย

สำหรับผู้ประสบภัย สามารถแจ้งเหตุ และขอความช่วยเหลือทางไลน์ "ปภ.รับแจ้งเหตุ 1784" โดยเพิ่มเพื่อน Line ID @1784DDPM และแอปพลิเคชั่น "พ้นภัย" รวมถึงสายด่วนนิรภัย 1784 ตลอด 24 ชั่วโมง

นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรี ระบุอีกว่า เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมาได้ลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์น้ำท่วมในจังหวัดสุโขทัย ซึ่งเป็นจุดบรรจบลุ่มน้ำยม-น่านตอนล่าง รวมถึงมีลักษณะเป็นแอ่งกระทะ มักจะมีน้ำล้นตลิ่งและท่วมขังเป็นเวลานาน เมื่อมีพายุเข้าในครั้งนี้ จึงได้รับผลกระทบสูง ดังนั้น รัฐบาลและกองอำนวยการน้ำแห่งชาติ (กนช.) จึงได้มอบหมายให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรมชลประทาน เร่งระบายน้ำจากพื้นที่ตอนบน เข้าพื้นที่ลุ่มต่ำและแม่น้ำยม

และในการลงพื้นที่ครั้งนี้ ได้กำชับให้มีการดำเนินการแก้ปัญหาน้ำท่วมในจังหวัดสุโขทัยอย่างยั่งยืนตามแผนงานที่รัฐบาลได้วางไว้แล้ว โดยในระยะสั้น จะเน้นการพัฒนาอ่างเก็บน้ำขนาดกลางและขนาดเล็ก ระยะกลางเน้นการปรับปรุงลำน้ำที่ตื้นเขิน การปรับปรุงคลองระบายน้ำรอบเมืองสุโขทัย ซึ่งต้องดำเนินการอย่างต่อเนื่อง

สำหรับระยะยาว สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) จะขับเคลื่อนการปรับปรุงคลองหกบาท ยม-น่าน ให้สามารถระบายน้ำได้ดีขึ้น พัฒนาแก้มลิงทะเลหลวง และแก้มลิงวังทองแดง รวมทั้งการเติมน้ำใต้ดินจากน้ำท่วมขังบริเวณบางระกำ ซึ่งจะทำให้ปัญหาอุทกภัยของจังหวัดสุโขทัยลดน้อยลงในอนาคต โดยรัฐบาลมีเป้าหมายที่จะกำหนดแผนเผชิญเหตุสำหรับในพื้นที่เสี่ยงภัยจังหวัดอื่นๆ เช่นเดียวกัน

"จังหวัดสุโขทัยเป็นจังหวัดที่มีความสำคัญในเชิงประวัติศาสตร์ของประเทศ และเป็นเมืองมรดกโลก เป็นที่ตั้งของอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย และศรีสัชนาลัย ผมต้องขอขอบคุณชาวสุโขทัย และกรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม ที่ได้เตรียมการรับมือล่วงหน้า ไม่ให้โบราณสถานสำคัญของชาติ ได้รับผลกระทบในปีนี้ และทุกๆ ปีที่ผ่านมา"นายกรัฐมนตรี ระบุ

นายกรัฐมนตรี กล่าวต่อว่า นอกจากการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินแล้ว หลักการทำงานที่ยึดไว้อยู่เสมอในการบริหารราชการแผ่นดินก็คือ เราต้องคิดถึงการพัฒนาเพื่อวันข้างหน้าคู่ขนานกันไปเสมอ อย่างเช่น เรื่องน้ำท่วม-ฝนแล้ง ย่อมกระทบการทำมาหากินของประชาชนหลากหลายสาขาอาชีพ ซึ่งจำเป็นต้องปรับตัว เช่น เกษตรกรก็จำเป็นต้องมีอาชีพเสริม การแปรรูป การสร้างมูลค่าเพิ่มจากพืชผลทางการเกษตร การค้าออนไลน์ เป็นต้น เพราะสภาพลมฟ้าอากาศในปัจจุบันมีความรุนแรงมากกว่าในอดีต เมื่อเกิดภัยพิบัติครั้งเดียวอาจทำให้หมดตัวได้ ทำให้ชีวิตตกอยู่ในความเสี่ยงที่คาดเดาไม่ได้

รัฐบาลจึงพยายามผลักดันและส่งเสริมเกษตรกรอย่างต่อเนื่องในหลากหลากรูปแบบ ทั้งการปลูกพืชหมุนเวียน การทำเกษตรแปลงใหญ่ เกษตรอินทรีย์ สมาร์ทฟาร์มเมอร์ รวมทั้งนโยบายตลาดนำการผลิต จะได้ไม่มีผลผลิตออกมาซ้ำออกมาล้นตลาดจนราคาตกต่ำ แต่ควรมีการลงทะเบียนปลูกพืชต่างๆ ที่เหมาะสมในเชิงพื้นที่ ทั้งในและนอกเขตชลประทาน เพื่อจะได้บริหารจัดการน้ำได้อย่างมีประสิทธิภาพและเหมาะสมในเชิงปริมาณ เพื่อการเตรียมตลาดภายในและภายนอกประเทศรองรับ

ทั้งนี้ รัฐบาลยังจัดให้มีระบบการลงทะเบียนเกษตรกร ทั้งเพาะปลูก-ประมง-ปศุสัตว์ ซึ่งทำให้การช่วยเหลือของรัฐ ทั้งเรื่องการประกันภัย ประกันราคา เยียวยาภัยพิบัติ มีความสะดวก รวดเร็ว อีกด้วย (การช่วยเหลือตามระเบียบกระทรวงการคลัง)

และสิ่งสำคัญในการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืนและการพัฒนาอย่างไม่หยุดยั้งนี้ คือ การทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิด จากทั้งภาครัฐ ภาคประชาชน และทุกภาคส่วน ขอชื่นชมข้าราชการยุคใหม่ที่ทำงานเชิงรุกมากขึ้น ลุกออกไปช่วยเหลือประชาชน ไม่ใช่เพียงรอให้ประชาชนที่เดือดร้อนเข้ามาขอความช่วยเหลือถึงที่ตั้ง นี่คือเกียรติและศักดิ์ศรีของข้าราชการที่แท้จริง

นอกจากนั้น ประชาชนต้องเรียนรู้และปรับตัวกับสิ่งใหม่ๆ ที่ภาครัฐให้การสนับสนุนอย่างต่อเนื่องในรูปแบบของโครงการต่างๆ เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงและพัฒนาทั้งตนเองและสังคมรอบตัว สิ่งเหล่านี้จะทำให้เกิดกลไกการทำงานที่เข้มแข็งในทุกชุมชน ซึ่งเมื่อรวมกันแล้วจะสร้างพลังที่ยิ่งใหญ่ให้ประเทศชาติเข้มแข็งขึ้นอย่างแน่นอนจากการประสานพลังของเราทุกคน


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ