พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย (มท.1) กล่าวถึงสถานการณ์น้ำท่วมในหลายจังหวัดว่า อาจจะมีมรสุมที่เข้ามาอีก 1-2 ลูกในพื้นที่ภาคเหนือ ตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคกลาง หลังจากนั้นช่วงกลางเดือน ต.ค.เป็นต้นไปมรสุมจะลงไปในพื้นที่ภาคใต้ อย่างไรก็ตาม สถานการณ์การเก็บน้ำขณะนี้น้ำในเขื่อนมีไม่มากนัก ปริมาณน้ำฝนที่ตกใต้เขื่อนเป็นบางพื้นที่ บางส่วนคือลุ่มน้ำเจ้าพระยาที่มีปริมาณน้ำมาจากจังหวัดสุโขทัยไล่ลงมา จึงต้องเร่งระบายน้ำให้เร็วที่สุด ซึ่งในทุกปี หากระบายน้ำเกิน 1,000 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที จะเริ่มส่งผลกระทบต่อพื้นที่นอกคันกั้นน้ำเจ้าพระยา เช่น อ่างทอง สิงห์บุรี ชัยนาท พระนครศรีอยุธยา
ส่วนพื้นที่อื่นของประเทศที่จะมีฝนตก เช่น ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จังหวัดนครราชสีมา ชัยภูมิ ถ้าตกหนักจะมีน้ำท่วมไหลหลาก ดินโคลนถล่ม ซึ่งภาครัฐเตรียมความพร้อม แจ้งเตือน และเข้าช่วยเหลือประชาชนตั้งแต่การกินอยู่ การสัญจร เรื่องตัดไฟฟ้าเพื่อป้องกันอันตราย เร่งระบายและเก็บน้ำไว้ใช้ในหน้าแล้ง
"สามารถพูดได้ตามที่ฝ่ายน้ำชี้แจง การท่วมใหญ่เหมือนปี 2554 จะไม่เกิด แม้จะมีเข้ามาอีก 1-2 ลูกเข้ามาในขณะนี้ ถ้าเราระบายตามแผนถ้าไม่มีตกมาอีกก็จบ ถ้ายังมีตกยังมีพื้นที่รับน้ำยังมีแผนรับน้ำ ส่วนอื่นก็ไม่มีปัญหา บริหารจัดการไปอย่างเป็นระบบ แต่ประชาชนอาจได้รับผลกระทบแน่นอน แต่ก็ได้ให้ความช่วยเหลือ" พล.อ.อนุพงษ์ กล่าว
รมว.มหาดไทย กล่าวว่า ได้กำชับให้ผู้ว่าราชการจังหวัดและหน่วยงานในสังกัดฯ เตรียมความพร้อมให้ความช่วยเหลือประชาชนอยู่ตลอดเวลา โดยเน้นย้ำให้แจ้งเตือนประชาชนเป็นสำคัญ ต้องเตรียมแผนป้องกัน เตรียมเครื่องมือ ที่พักพิง อาหาร น้ำดื่ม ถุงยังชีพ ส่งให้ถึงมือประชาชนอย่างทั่วถึง มีโรงครัวพระราชทาน มีถุงยังชีพส่งให้ แต่ประชาชนเป็นห่วงบ้าน ห่วงข้าวของเครื่องใช้ จึงต้องการอยู่ใกล้บ้าน ย้ำว่าทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ดูแลประชาชนอย่างดีที่สุด
ส่วนการลงพื้นที่ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ที่ถูกนำไปโยงเป็นประเด็นทางการเมืองนั้น พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า ไม่อยากพูดเรื่องการเมือง การลงพื้นที่ของนายกรัฐมนตรี เพื่อดูความเดือดร้อนไปให้กำลังใจผู้ปฏิบัติงาน และกำชับทำให้การดูแลประชาชนดีที่สุด ประชาชนจะได้ไม่รู้สึกว่าเราไม่ได้ทอดทิ้ง แต่ดูแลเอาใจใส่ พร้อมปฏิเสธตอบคำถามเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของพี่น้อง 3 ป.