นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวว่า การฉีดวัคซีนให้กับเด็กอายุ 12 ปีขึ้นไปที่เริ่มต้นในวันนี้จะช่วยเพิ่มความมั่นใจในการเปิดประเทศได้มากขึ้น โดยระยะแรกจะฉีดให้เด็กผู้หญิง 2 เข็มห่างกัน 4 สัปดาห์ ส่วนเด็กชายจะฉีดให้เข็มเดียวก่อน เพื่อประเมินผลข้างเคียงหลังฉีดตามข้อมูลของระบาดวิทยาที่พบว่าในเด็กผู้ชายที่ฉีดวัคซีนจะมีภาวะกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบและเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบ โดยขอให้ผู้ที่ฉีดวัคซีนแล้วสังเกตตัวเองว่ามีอาการแน่นหน้าอก เจ็บหน้าอก หอบ เหนื่อยง่าย ใจสั่นหรือไม่ ในรายที่อาการรุนแรงอาจเป็นลม หมดสติได้
สำหรับภาวะกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบและเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบนั้นปกติจะพบ 10-20 ราย/ประชากรแสนราย/ปี แต่จะมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นหลังได้รับการฉีดวัคซีน mRNA ซึ่งก่อนหน้านี้มีการฉีดวัคซีนที่ได้รับบริจาคมาให้กับเด็กในพื้นที่สีแดงเข้มจำนวน 1.3 แสนโดส พบอาการกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ 4 ราย แต่อาการไม่รุนแรง
"กระทรวงสาธารณสุขมีระบบติดตามเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิดเพื่อความปลอดภัยและความสบายใจของผู้ปกครอง โดยขอให้ผู้ที่ฉีดแล้วมีอาการรีบไปพบแพทย์ เรื่องนี้มีข่าวสารใหม่ๆ เกิดขึ้นตลอดเวลา ซึ่งคณะเชี่ยวชาญได้ชั่งน้ำหนักแล้วเห็นว่าการฉีดวัคซีนจะเป็นประโยชน์มากกว่าโทษ" นพ.โอภาส กล่าว
โดยการฉีดวัคซีนให้เด็กอายุ 12 ปีขึ้นไปจะใช้ฐานโรงเรียนที่มีการฉีดวัคซีนชนิดอื่นอยู่แล้ว ส่วนเด็กที่ไม่ได้อยู่ในระบบการศึกษาตามปกติสามารถแจ้งความจำนงค์มาที่จังหวัดหรือกระทรวงสาธารณสุขได้ ซึ่งมีการจัดเตรียมวัคซีนไฟเซอร์ไว้ทั้งหมด 30 ล้านโดส โดยล็อตแรก 5 ล้านโดส มีการส่งมอบแล้ว 2 ล้านโดส ในสัปดาห์หน้าจะส่งมอบอีก 1.5 ล้านโดส และสัปดาห์ถัดไปอีก 1.5 ล้านโดส
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้จะมีการฉีดวัคซีนไปแล้วแต่สถานศึกษาต้องดำเนินมาตรการรักษาสุขอนามัยอย่างเคร่งครัด ขณะที่ครูและบุคลากรทางการศึกษาได้รับการฉีดวัคซีนไปแล้วกว่า 80% และอาจต้องมีการตรวจด้วย Antigen Test Kit (ATK) เป็นระยะๆ เพื่อป้องกันการเกิดคลัสเตอร์ใหม่
นพ.โอภาส กล่าวถึงความคืบหน้าการฉีดวัคซีนล่าสุดสามารถดำนินการไปแล้วรวม 55,150,481 โดส ซึ่งเร็วกว่าแผนงานที่กำหนดไว้ โดยมีผู้ได้รับเข็มที่ 1 จำนวน 32,987,918 ราย คิดเป็น 45.8% เข็มที่ 2 จำนวน 20,696,791 ราย คิดเป็น 28.7% และเข็มที่ 3 จำนวน 1,465,772 ราย คิดเป็น 2%
ทั้งนี้มีแผนจัดหาวัคซีนมาใช้งานในปี 64 รวม 119 ล้านโดส แยกเป็น เข็มที่ 1 จำนวน 60 ล้านโดส เข็มที่ 2 จำนวน 52 ล้านโดส และเข็มที่ 3 จำนวน 7 ล้านโดส ส่วนในปี 65 จะมีการจัดหาเพิ่มเติมอีก 86 ล้านโดส แยกเป็น เข็มที่ 1 (เด็กอายุ 3-11 ปี) จำนวน 6 ล้านโดส เข็มที่ 2 จำนวน 14 ล้านโดส (ผู้ที่ยังไม่ได้รับวัคซีนในปี 64 จำนวน 8 ล้านโดส และเด็กอายุ 3-11 ปี จำนวน 6 ล้านโดส) และเข็มที่ 3 จำนวน 66 ล้านโดส (ผู้ที่มีอายุ 3 ปีขึ้นไป)
"ขณะนี้มีผู้ผลิตวัคซีนหลายรายกำลังยื่นเรื่องให้สำนักงานอาหารและยาดูอยู่ ส่วนตัวเชื่อว่ามีวัคซีนหลายชนิดที่มีความปลอดภัยในเด็ก ไม่เกินปีหน้าจะมีวัคซีนมาฉีดให้เด็กอายุ 3 ขวบขึ้นไป" นพ.โอภาส กล่าว