นายสุรสีห์ กิตติมณฑล เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) ในฐานะรองผู้อำนวยการกองอำนวยการน้ำแห่งชาติ (กอนช.) เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะทำงานด้านอำนวยการ ครั้งที่ 2/2564 ร่วมกับหน่วยงานภายใต้ กอนช. อาทิ กรมอุตุนิยมวิทยา สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ องค์การมหาชน (สสน.), สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) หรือ จิสด้า กรมชลประทาน กรมทรัพยากรน้ำ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) กรมส่งเสริมการเกษตร เป็นต้นว่า ที่ประชุมได้มีการติดตามสถานการณ์ และการเตรียมความพร้อมรับมือสถานการณ์พายุที่อาจจะเข้าสู่พื้นที่ภาคใต้ตอนบน และภาคใต้ตอนล่าง ซึ่งคาดว่าตุลาคมนี้มีโอกาสฝนตกเพิ่มขึ้น อาจเกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลากในบางแห่ง
พร้อมทั้งได้คาดการณ์พื้นที่เสี่ยงอุทกภัยพื้นที่ภาคใต้ เดือนตุลาคม - ธันวาคม 2564 มีพื้นที่เสี่ยงอุทกภัย จำนวน 668 ตำบล 125 อำเภอ 14 จังหวัด โดยจำแนกพื้นที่เสี่ยงอุทกภัยในแต่ละจังหวัด โดยที่ประชุมได้ซักซ้อมความพร้อมรับมือสถานการณ์ เครื่องจักรเครื่องมือประจำจุดเสี่ยง จุดอ่อนไหวต่างๆ รวมถึงการบริหารจัดการน้ำในเขื่อนน้ำมากในเกณฑ์เฝ้าระวัง อาทิ เขื่อนแก่นกระจาน จ.เพชรบุรี เขื่อนปราณบุรี จ.ประจวบคีรีขันธ์ และเขื่อนบางลาง จ.ปัตตานี เป็นต้น
นายสุรสีห์ กล่าวถึงการวางแผนการบริหารจัดการน้ำลุ่มน้ำเจ้าพระยา-ป่าสัก โดยขณะนี้ปริมาณน้ำไหลผ่านเขื่อนเจ้าพระยา 2,749 ลบ.ม./วินาที และปริมาณน้ำไหลผ่านเขื่อนพระรามหกสูงสุดในอัตรา 762 ลบ.ม.ต่อวินาที โดยในวันนี้ (6 ต.ค.64) ปริมาณน้ำไหลผ่าน อำเภอบางไทร จังหวัดพระนครศรีอยุธยา 2,784 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที โดยจะไหลออกสู่อ่าวไทย ในช่วงวันที่ 8 - 10 ตุลาคม 2564
ขณะเดียวกัน กรมชลประทาน จะปรับลดการระบายน้ำเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ลงจากเดิมระบายวันละ 1,000 ลบ.ม.ต่อวินาที ลดลงเหลือ 800 ลบ.ม./วินาที ภายในเที่ยงวันนี้ เพื่อให้สถานการณ์น้ำท่วมลดระดับลง และกลับเข้าสู่ภาวะปกติโดยเร็ว ซึ่งปัจจุบันเขื่อนป่าสักฯ ระบาย 933 ลบ.ม./วินาที และจะทยอยปรับลดลงให้สอดคล้องกับน้ำไหลเข้าเพื่อลดระดับน้ำให้เข้าสู่เกณฑ์ควบคุมเพื่อเตรียมรองรับน้ำที่อาจมีเพิ่มขึ้นจากการคาดการณ์สภาพอากาศของกรมอุตุนิยมวิทยาที่อาจจะมีฝนเพิ่มขึ้นในช่วงระหว่างวันที่ 10 ตุลาคมนี้
ทั้งนี้ กรมอุตุนิยมวิทยา ร่วมกับ สสน. ยังได้มีการติดตามหย่อมความกดอากาศต่ำ 2 ลูก เพื่อเฝ้าระวังผลกระทบต่อประเทศไทย โดยคาดการณ์ว่า หย่อมความกดอากาศต่ำลูกแรก มีแนวโน้มต่ำที่จะพัฒนาเป็นพายุโซนร้อน เนื่องจากอิทธิพลของความกดอากาศสูงที่แผ่ลงมา แต่จะยังคงมีฝนอยู่ตามฤดูกาล ส่วนหย่อมความกดอากาศต่ำลูกที่ 2 มีแนวโน้มที่จะทวีความรุนแรงมากกว่าหย่อมความกดอากาศลูกแรก โดย กอนช. จะมีการติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดอย่างต่อเนื่อง เพื่อวางแนวทางป้องกันพื้นที่เสี่ยงให้ประชาชนได้รับผลกระทบน้อยที่สุด
สำหรับการบริหารจัดการน้ำ เพื่อเร่งคลี่คลายสถานการณ์น้ำท่วมในพื้นที่ลุ่มน้ำชี-มูล ในพื้นที่ลุ่มต่ำริมตลิ่งบริเวณ 9 จังหวัด ได้แก่ จ.เลย ขอนแก่น ชัยภูมิ ยโสธร นครราชสีมา บุรีรัมย์ สุรินทร์ ศรีสะเกษ และอุบลราชธานี ที่ประชุมได้มอบหมายการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ร่วมกับกรมชลประทานบริหารจัดการน้ำของเขื่อนอุบลรัตน์ โดยระบายน้ำในระดับที่ไม่มีผลกระทบต่อประชาชนในพื้นที่ โดยเขื่อนอุบลรัตน์จะระบายน้ำด้วยอัตรา 20 ล้าน ลบ.ม./วัน ซี่งได้ผ่านความเห็นชอบของคณะอนุกรรมการกลางจังหวัดขอนแก่นแล้ว รวมถึงการควบคุมน้ำในลำน้ำของแม่น้ำชี-มูล ให้กรมชลประทานเปิดประตูระบายน้ำให้เต็มศักยภาพ เพื่อให้ไม่เป็นการหน่วงน้ำ และสามารถระบายน้ำได้ พร้อมทั้งเร่งระบายน้ำที่ไม่สามารถเก็บกักได้ลงแม่น้ำโขงโดยเร็ว
ทั้งนี้ จากปริมาณมวลน้ำหลากที่มีการบริหารจัดการโดยเก็บกักในพื้นที่ลุ่มต่ำ พื้นที่แก้มลิงต่าง ๆ สทนช.ได้เสนอกรอบทางร่วมกับหน่วยงานเกี่ยวข้อง โดยเฉพาะกรมชลประทาน และกรมส่งเสริมการเกษตร ในการวางแผนนำน้ำที่ไหลหลากในทุ่งรับน้ำต่าง ๆ รวมถึงมวลน้ำในพื้นที่ลุ่มต่ำในปัจจุบันมาบริหารจัดการสำหรับฤดูแล้งหน้า ทั้งในลุ่มเจ้าพระยา ลุ่มน้ำมูล-ชี ซึ่งจะเป็นอีกหนึ่งมาตรการในเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากการรับน้ำในฤดูฝนนี้ สามารถทำการเกษตรนาปรัง หรือพืชใช้น้ำน้อย ก่อนเสนอเป็นมาตรการบริหารจัดการน้ำฤดูแล้งปี 2564/2565 เสนอเข้าสู่ที่ประชุมคณะอำนวยการด้านบริหารจัดการทรัพยากรน้ำปลายเดือนนี้ก่อนเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาโดยเร็วต่อไป
นอกจากนี้ จากการคาดการณ์ปริมาณน้ำสิ้นฤดูฝน ณ 1 พฤศจิกายน 64 ทั้งประเทศไทยมีปริมาตรน้ำ 55,900 ล้าน ลบ.ม. คิดเป็น 68% ของความจุ ขณะที่น้ำใช้การได้จะอยู่ที่ 27,909 ล้าน ลบ.ม. คิดเป็น 58% ของน้ำใช้การ ซึ่งจากมาตรการเร่งเก็บกักน้ำและบริหารจัดการน้ำในเขื่อนตลอดช่วงฤดูฝนที่ผ่านมาก็เบาใจในระดับหนึ่งว่า ในปีนี้ทุกภาคมีปริมาณน้ำเก็บกักมากกว่าปี 2563 แบ่งเป็น ภาคเหนือ 15,085 ล้าน ลบ.ม. (54%) ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 10,737 ล้าน ลบ.ม. (82%) ภาคตะวันตก 20,521 ล้าน ลบ.ม. (72%) ภาคตะวันออก 2,869 ล้าน ลบ.ม. (93%) ภาคกลาง 1,521ล้าน ลบ.ม. (74%) และภาคใต้ 5,167 ล้าน ลบ.ม. (66%)
แต่อย่างไรก็ตาม ยังต้องบริหารจัดการน้ำที่มีอยู่ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดในทุกกิจกรรมการใช้น้ำช่วงฤดูแล้งปี 2564/2565 ซึ่ง สทนช.จะสรุปผลการบริหารจัดการน้ำฤดูฝน และแผนการเตรียมการรับมือฤดูแล้งที่จะถึงนี้เข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ต่อไป