นพ.เฉวตสรร นามวาท ผู้อำนวยการกองควบคุมโรคและภัยสุขภาพในภาวะฉุกเฉิน กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เปิดเผยว่า เนื่องจากวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้า อาจมีการส่งมอบที่ไม่ตรงตามจำนวนในบางครั้ง ดังนั้นเพื่อป้องกันปัญหาวัคซีนขาดตอน คณะกรรมการวิชาการ และศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) จึงเห็นชอบสูตรการฉีดวัคซีนใหม่ ซิโนแวค-ไฟเซอร์ เพื่อรองรับสถานการณ์ที่วัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าขาดแคลน
ในส่วนของสูตรการฉีดวัคซีนสูตรใหม่อีกสูตร แอสตร้าเซนเนก้า-ไฟเซอร์ คณะกรรมการวิชาการเห็นชอบให้ใช้ได้ในกรณีที่มีความจำเป็นเท่านั้น เช่น ในกรณีที่มีการฉีดวัคซีนไฟเซอร์ในกลุ่มเป้าหมายครบถ้วนแล้ว แต่มีวัคซีนค้างอยู่ที่จังหวัด ซึ่งขณะนั้นหากมีผู้ที่ฉีดวัคซีนแอสตร้าเซเนก้าเข็มแรก ก็สามารถรับวัคซีนไฟเซอร์เป็นเข็มที่ 2 ได้ หรือในกรณีที่ต่างประเทศพบการแพ้วัคซีนแอสตร้าเซนเนก้า จึงมีการพิจารณาให้ใช้วัคซีนไฟเซอร์เป็นเข็มที่ 2 ได้ ทั้งนี้สูตรการฉีดวัคซีนดังกล่าวมีความปลอดภัย เนื่องจากได้รับการรับรองจากองค์การอนามัยโลก (WHO) แล้ว อย่างไรก็ดี สูตรการฉีดวัคซีนซิโนแวค-แอสตร้าเซนเนก้า ยังคงเป็นสูตรการฉีดวัคซีนหลักของประเทศ
นพ.เฉวตสรร ได้กล่าวถึงสถานการณ์จำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 ของประเทศไทยว่า ขณะนี้มีแนวโน้มลดลงเรื่อยๆ ในขณะที่พื้นที่ชายแดนใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดยังคงมีแนวโน้มสูงขึ้นเรื่อยๆ อย่างไรก็ดีจำนวนผู้ติดเชื้อนั้นไม่เป็นปัจจัยบ่งชี้สถานการณ์การแพร่ระบาดเพียงอย่างเดียว แต่ยังต้องติดตามจำนวนผู้ติดเชื้อที่มีอาการปอดอักเสบ และป่วยหนัก ซึ่งหากระบบสาธารณสุขสามารถควบคุมรองรับได้ดี ถึงแม้จำนวนผู้ติดเชื้อจะสลับขึ้นลงบ้าง แต่ก็จะสามารถดำเนินการเปิดประเทศต่อไปได้
สำหรับการเปิดประเทศต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน เพื่อที่จะวางแผนมาตรการรองรับในการติดตามสถานการณ์ เช่น หากมีการติดเชื้อเพิ่มขึ้น มีจำนวนผู้ต้องนอนโรงพยาบาลมากขึ้น จะต้องมีการกำหนดที่ชัดเจนว่าในระดับใด จึงจะต้องมีการปรับ หรือเพิ่มมาตรการ เพื่อให้ทุกภาคส่วนสามารถดำเนินงานเป็นไปในทิศทางเดียวกัน
"เมื่อตัวเลขผู้ติดเชื้อเริ่มลดลง และมีการผ่อนคลายให้ดำเนินกิจกรรมต่างๆ ก็มักจะเกิดคลัสเตอร์ใหม่ เช่น ตลาด แคมป์ก่อสร้าง ร้านอาหาร งานศพ เป็นต้น ดังนั้นเพื่อให้ผู้ติดเชื้อไม่เพิ่มขึ้น ต้องมีการปฎิบัติตัวแบบครอบจักรวาล (Universal Prevention -UP) อย่างเคร่งครัด" นพ.เฉวตรสรร กล่าว
อย่างไรก็ดีการฉีดวัคซีนในประเทศเริ่มมีสัดส่วนมากขึ้น จากเป้าหมายที่วางไว้ว่าสิ้นเดือนต.ค. จะสามารถฉีดเข็ม 1 ได้เกิน 50% ซึ่งขณะนี้สามารถฉีดวัคซีนเข็ม 1 เกินเป้าหมายแล้วอยู่ที่ 52.3% และเข็ม 2 อยู่ที่ 36.2% ซึ่งอีกประมาณ 3-4 สัปดาห์จะอยู่ที่ประมาณ 52% ส่วนเข็ม 3 อยู่ที่ 2.7% ในส่วนของการฉีดวัคซีนในนักเรียน นักศึกษา อายุ 12-17 ปี ขณะนี้สามารถฉีดเข็มที่ 1 แล้วจำนวน 1.1 ล้านราย
ส่วนการฉีดวัคซีนในพื้นที่นำร่องท่องเที่ยวใน 13 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดกรุงเทพฯ, เชียงใหม่, ประจวบคีรีขันธ์, เพชรบุรี, ชลบุรี, สมุทรปราการ, ระยอง, ตราด, เลย, หนองคาย, อุดรธานี, บุรีรัมย์, ภูเก็ต, สุราษฎร์ธานี, กระบี่, พังงา และระนอง สามารถฉีดวัคซีนเข็มที่ 1 ครอบคลุมแล้ว 72.9% และเข็มที่ 2 ครอบคลุมแล้ว 50.9%
ในขณะที่ยังมีอีกหลายจังหวัดที่พบการแพร่ระบาดหนัก ได้แก่ จังหวัดตาก, ราชบุรี, จันทบุรี, ระยอง, นครราชสีมา, นครศรีธรรมราช, นราธิวาส, ปัตตานี, ยะลา และสงขลา ซึ่งจังหวัดดังกล่าวยังมีสัดส่วนในการฉีดวัคซีนเข็มที่ 1 เพียง 45% และเข็มที่ 2 เพียง 30.3% เท่านั้น ดังนั้นจึงมีการตั้งเป้าฉีดวัคซีนให้ครอบคลุม 50% ภายในสิ้นเดือนต.ค. นี้ ซึ่งในหลายจังหวัดก็มีการรณรงค์ให้ประชาชนมารับวัคซีน และมีการลงพื้นที่เพื่อตรวจหาเชื้อมากขึ้น
อย่างไรก็ดี สาธารณสุขได้มีการจัดสรรวัคซีนให้เพิ่มเติมสำหรับพื้นที่ที่มีการระบาดหนัก เช่น ภาคใต้ตอนล่าง เนื่องจากมีการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ถึง 3 สายพันธุ์ ทั้งสายพันธุ์อัลฟา เบตา และเดลตา จึงต้องมีการจัดสรรวัคซีนชนิด mRNA หรือวัคซีนไฟเซอร์ ทั้งนี้วัคซีนไฟเซอร์ที่จัดสรรให้ภาคใต้ ไม่ได้กระทบกับจำนวนวัคซีนสำหรับนักเรียน นักศึกษาแต่อย่างใด นอกจากนี้ไทยยังได้รับการส่งมอบวัคซีนไฟเซอร์ตามกำหนด ดังนั้นปริมาณวัคซีนจึงมีเพียงพอสำหรับนักเรียน นักศึกษา ที่แจ้งความประสงค์ฉีดวัคซีนทุกราย