นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค.ชุดใหญ่ ที่มีพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ได้เห็นชอบปรับลดพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวดเหลือ 7 จังหวัด จาก 23 จังหวัด ได้แก่ จันทบุรี ตาก นครศรีธรรมราช นราธิวาส ปัตตานี ยะลา และ สงขลา โดยยังคงห้ามออกจากเคหะสถาน (เคอร์ฟิว) ในช่วงเวลา 23.00 น. ถึง 03.00 น.
ส่วนพื้นที่ควบคุมสูงสุด เพิ่มจาก 30 จังหวัด เป็น 38 จังหวัด ขณะที่พื้นที่ควบคุม ลดจาก 24 จังหวัด เหลือ 23 จังหวัด
พื้นที่เฝ้าระวังสูงเพิ่มเป็น 5 จังหวัด และยกเลิกพื้นที่เฝ้าระวัง
นอกจากนี้ ให้เพิ่มพื้นที่สีฟ้า ซึ่งเป็นพื้นที่นำร่องท่องเที่ยว 4 จังหวัด ได้แก่ กรุงเทพมหานคร (กทม.) กระบี่ พังงา และ ภูเก็ต โดยจะไม่มีเคอร์ฟิว และให้สามารถนั่งรับประทานเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในร้านได้ แต่ต้องกำหนดมาตรการเฉพาะในแต่ละพื้นที่ โดยเฉพาะใน กทม.
ทั้งนี้ ให้มีผลตั้งแต่วันที่ 1 พ.ย.
นพ.ทวีศิลป์ กล่าวว่า ที่ประชุมศบค.มีความห่วงใยเรื่องการเปิดประเทศในวันที่ 1 พ.ย.นี้ โดยเฉพาะเรื่องของการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จะปล่อยให้เกิดขึ้นโดยวิธีปกติไม่ได้ เพราะเป็นเหตุของการติดเชื้อและทำให้เกิดการแพร่ระบาดโควิด-19 กลับมาอีกได้ โดยเฉพาะในพื้นที่กรุงเทพฯ ซึ่งมีความซับซ้อนในเชิงของการจัดการ ในการควบคุมโรค ซึ่งทางผอ.ศบค.ได้สั่งการให้กรุงเทพฯ นำข้อกังวลในที่ประชุมไปประชุมกับคณะกรรมการโรคติดต่อกรุงเทพฯในช่วงบ่ายวันเดียวกันนี้ ซึ่งจะต้องออกมาตรการเฉพาะในเรื่องของการให้การบริการการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
ด้านผู้ว่ากทม.ได้กล่าวว่า กรุงเทพฯมีระบบของการจัดการที่ให้สถานที่ต่างๆได้ประเมินตนเองหรือประเมินผ่านคณะกรรมการโรคติดต่อของกรุงเทพฯ
นพ.ทวีศิลป์ กล่าวว่า สถานประกอบการหรือสมาคมที่มีส่วนรับผิดชอบในการเปิดกิจกรรมและกิจการทางด้านนี้ ขอให้มีส่วนร่วมในการร่วมรับผิดชอบในการดำเนินกิจการและกิจกรรมให้กลับเป็นเหมือนเดิม เมื่อมีภาวะที่เสี่ยงสูงต่อการติดเชื้อหรือการแพร่ระบาดจะต้องรับผิดชอบร่วมกัน
นอกจากนี้ ที่ประชุม ศบค.เห็นชอบการปรับมาตรการป้องกันควบคุมโรคโควิด-19 สำหรับการเดินทางเข้าราชอาณาจักร ตั้งแต่วันที่ 1 พ.ย.2564 โดยสรุปได้ 3 แนวทาง คือ 1.Test and Go เดินทางมาจากประเทศที่กำหนดพำนักในประเทศที่กำหนด 21 วันก่อนเดินทาง ยกเว้นประเทศไทย โดยการกักตัว พำนักเพื่อรอผลตรวจ RT-PCR ในโรงแรมสถานที่กับตัวทางเลือก (AQ) แนวทางปฏิบัติที่เป็นมาตรฐานภาคสมัครใจสำหรับผู้ประกอบการ (SHA+) ที่มีโรงพยาบาลคู่ปฏิบัติการ 1 วัน
นอกจากนี้จะต้องมีหลักฐานการฉีดวัคซีนว่า ได้รับวัคซีนครบตามเกณฑ์ที่กำหนดเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 14 วันก่อนเดินทางยกเว้นเด็กอายุต่ำกว่า 12 ปีที่มากับผู้ปกครอง ขณะเดียวกันจะต้องมีหลักฐานการจองที่พักการจ่ายค่าที่พักจำนวน 1 วัน รวมค่าตรวจ RT-PCR และ ATK และจะต้องมีประกันภายในวงเงินคุ้มครองไม่น้อยกว่า 50,000 ดอลลาร์สหรัฐ ยกเว้นคนไทยที่มีสิทธิการรักษาพยาบาลอยู่แล้ว รวมถึงผลการตรวจเชื้อโควิด-19 ด้วยวิธีการตรวจ RT-PCR ออกภายใน 72 ชั่วโมงก่อนเดินทาง และเมื่อเดินทางถึงประเทศไทยตรวจเชื้อโควิดครั้งที่ 1 ด้วยวิธีการตรวจ RT-PCR ครั้งที่ 2 ด้วยการตรวจแบบ ATK ด้วยตัวเองเมื่อมีอาการหรือในวันที่ 6-7
2.ผู้เดินทางเข้าพื้นที่นำร่องท่องเที่ยว ทางอากาศ (Sandbox programme) เดินทางมาจากประเทศใดก็ได้ พำนักในพื้นที่ Sandbox ได้รับวัคซีนครบตามเกณฑ์ที่กำหนดเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 14 วันก่อนเดินทาง ยกเว้นเด็กอายุต่ำกว่า 16 ปีที่มากับผู้ปกครอง มีหลักฐานการจ่ายค่าที่พัก SHA+ในพื้นที่ Sandbox รวมถึงผลการตรวจเชื้อโควิด-19 ด้วยวิธีการตรวจ RT-PCR ออกภายใน 72 ชั่วโมงก่อนเดินทาง และเมื่อเดินทางถึงประเทศไทยตรวจเชื้อโควิดครั้งที่ 1 ด้วยวิธีการตรวจ RT-PCR ครั้งที่ 2 ด้วยการตรวจแบบ ATK ด้วยตัวเองเมื่อมีอาการหรือในวันที่ 6-7
3.ผู้เดินทางเข้าทุกช่องทาง เดินทางมาจากประเทศใดก็ได้ โดยต้องกักตัวในสถานที่กักกันที่ราชการกำหนด ได้รับวัคซีนครบตามเกณฑ์ทุกช่องทาง 7 วัน ส่วนที่ไม่ได้รับวัคซีนเดินทางทางอากาศและทางน้ำกักตัว 10 วัน ส่วนทางบก 14 วัน และต้องมีหลักฐานการจ่ายค่าที่พักสถานกักกันที่ราชการกำหนดจำนวน 7 วัน 10 วันและ 14 วัน รวมถึงผลการตรวจเชื้อ โควิด-19 ด้วยวิธีการตรวจ RT-PCR ออกภายใน 72 ชั่วโมงก่อนออกเดินทาง โดยคนไทยไม่ต้องมีผลตรวจเชื้อ โควิด-19 ก่อนเดินทาง มีการตรวจ RT-PCR 2 ครั้ง ครั้งแรกวันที่เดินทางถึง (วันที่ 0-1) ครั้งที่ 2 วันที่ 6-7 หรือ 8-9 แล้วแต่กรณี
นพ.ทวีศิลป์ กล่าวต่อว่า นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม ได้รายงานในที่ประชุมว่า มีการจองบัตรโดยสารเครื่องบินที่เข้ามาในช่วงที่จะเปิดประเทศแล้ว 15 ประเทศ เข้ามาจำนวน 10,919 ราย ตั้งแต่วันที่ 1-5พ.ย.นี้ ทั้งนี้ PhuKet Sandbox มีนักท่องเที่ยวเข้ามา 40,000 รายแล้วและจะมีการเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ โดยมีความก้าวหน้าในแผนรองรับการเปิดประเทศและการระบาดของ โควิด-19 ปี 2565
ทั้งนี้มีการคาดการณ์ผลหลังเปิดประเทศในวันที่ 1 พ.ย.นี้ว่า หากเลยวันที่ 1 พ.ย.ไปประมาณ 1 สัปดาห์จะมีทางแยกออกเป็น 3 ทาง โดยปลัดกระทรวงสาธารณสุข เน้นย้ำว่า ทางแยกที่ 1.ที่อยากเห็น คือ ทุกคนการ์ดไม่ตก ทำหน้าที่เต็มที่และควบคุมกันอย่างเต็มที่ ให้สามารถพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมไปได้ 2.ถ้าการ์ดตกทำอะไรที่ลดหย่อนและไม่เข้มงวดพอผู้ติดเชื้อก็จะเพิ่มขึ้น และ 3.หากการ์ดตกมาก โดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยในด้านอื่นๆ ตัวเลขผู้ติดเชื้อก็จะกลับเพิ่มสูงขึ้นเป็นหลักหมื่น หรือหลายหมื่นคนได้
"ซึ่งสัปดาห์หน้าจะเข้าสู่ทางแยกดังกล่าว ถ้าเราผ่านไปได้ ก็สามารถจะนำเม็ดเงินและความเป็นอยู่กลับคืนสู่ชีวิตวิถีใหม่ จึงต้องขอความร่วมมือจากประชาชน"