นายไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) เปิดเผยว่า ประเมินทิศทางเงินทุนไหลเข้า (Fund Flow) มีโอกาสเข้ามาอีกมาก หลังจากเปิดประเทศวันที่ 1 พ.ย. โดยในเดือน ต.ค.64 เริ่มเห็น Fund Flow เข้ามาแล้วราว 15,000 ล้านบาท ถือเป็นครั้งแรกที่เป็นบวกและเป็นระดับสูงสุดในปีนี้ ซึ่งหากยังอยู่ในระดับดังกล่าวอย่างต่อเนื่องก็คาดว่าในปีหน้าอาจจะเห็น Fund Flow ไหลเข้ามากกว่า 1 แสนล้านบาท ในกรณีที่เศรษฐกิจของไทย (GDP) ในปี 65 ฟื้นเติบโตได้มากกว่าที่คาดการณ์ 3.5% หรือเติบโตได้มากกว่า 4%
อย่างไรก็ตาม การไหลเข้าของ Fund Flow ก็ขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างประเทศด้วย โดยเฉพาะทิศทางอัตราเงินเฟ้อ ส่วนของบ้านเรา หากรัฐบาลเปิดเมืองเปิดประเทศได้ดีก็ไม่ใช่เรื่องยากที่จะดึงเม็ดเงินต่างชาติเข้ามา เชื่อว่าตลาดหุ้นไทยยัง underperform เห็นได้จากปรับชึ้นมา 3% ขณะที่ตลาดสหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นไปแล้ว 40% ขณะที่ไทยยังไม่มีความจำเป็นต้องปรับขึ้นดอกเบี้ย
"เราเชื่อว่ายังมีโอกาสที่จะเห็น Fund Flow เข้ามาอีกมาก จากเดือนที่แล้วเข้ามา 15,000 ล้านบาท หากใช้ตัวเลขนี้ต่อเนื่องไปก็เชื่อว่ามีความเป็นไปได้ โดยมองตัวเลขไว้ที่ระดับ 1 แสนล้านบาท แต่เศรษฐกิจจะต้องฟื้นตัวที่ดีกว่าคาด หรือสามารถทำให้โตกว่า 4% ก็เชื่อว่า Fund Flow จะไหลเข้ามามากขึ้น" นายไพบูลย์ กล่าว
สำหรับประเด็นการเปิดประเทศ แม้อาจจะยังไม่ได้ส่งผลดีต่อการท่องเที่ยวในปีนี้มากนัก แต่จะเห็นผลชัดเจนมากขึ้นในปีหน้า และปัจจัยที่นักลงทุนยังเป็นกังวลในเรื่องของการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 นั้น หากรัฐบาลมีการบริหารจัดการที่ดีในเรื่องของสาธารณสุขก็เชื่อว่าจะไม่ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่น รวมถึงปัจจุบันยอดการฉีดวัคซีนก็ปรับตัวขึ้นไปมาก และในไตรมาส 4/64 ก็ยังมีวัคซีนทางเลือกเข้ามาเพิ่มเติม ก็น่าจะเป็นปัจจัยบวก และส่งผลดีต่อการเติบโตของเศรษฐกิจในระยะถัดไปได้ แต่หากสถานการณ์โควิด-19 แย่ลงอีกครั้งจนทำให้ภาครัฐต้องกลับมาใช้มาตรการล็อกดาวน์หรือปิดธุรกิจอีก ก็จะส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นอย่างมีนัยสำคัญ
ด้านสถานการณ์การเมืองในประเทศ มองว่าใกล้เข้าสู่ช่วงของการเลือกตั้งแล้ว แต่เชื่อว่าจะไม่เห็นภาพความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างฝ่ายค้านและรัฐบาล โดยน่าจะเป็นการออกมาสนับสนุนผ่านนโยบายเพื่อให้เศรษฐกิจดีขึ้นเพื่อให้กลับมาเป็นรัฐบาล ทำให้เชื่อว่าจะเห็นมาตรการใหม่ๆ ในปีหน้า เน้นเรื่องการกระตุ้นเศรษฐกิจให้เติบโตได้ในระยะยาว
ส่วนการที่นักลงทุนรุ่นใหม่เริ่มเข้าสู่ตลาดคริปโทเคอร์เรนซีมากขึ้น ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อวอลุ่มการเทรดของตลาดหุ้นไทยนั้น นายไพบูลย์ มองว่าตลาดหุ้นไทยยังมีศักยภาพ พร้อมนำเทคโนโลยีต่างๆ เข้ามาสนับสนุน ซึ่งเป็นสิ่งที่มีการศึกษาอยู่ตลอดเวลา โดยวัตถุประสงค์ยังคงมุ่งเป็นแหล่งระดมทุนของบริษัทเอกชน ซึ่งยังมีข้อแตกต่างจากตลาดคริปโทเคอร์เรนซีที่ไม่ได้มีไว้ระดมทุน แต่ในอนาคตมีโอกาสสองตลาดรวมเข้ากัน ขึ้นอยู่กับหลายองค์ประกอบ และฝ่ายกำกับดูแลอยากจะเห็นภาพเหล่านี้อย่างไร
นางสาวอริยา ติรณะประกิจ รองกรรมการผู้จัดการ สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย กล่าวว่า ตลาดตราสารหนี้ในปีนี้ คาดภาคเอกชนจะออกหุ้นกู้มากที่สุดเป็นประวัติการณ์ หรือทะลุ 1.1 ล้านล้านบาท จากปี 62 ที่เคยทำไว้สูงสุด เนื่องจากภาคเอกชนได้ประโยชน์จากต้นทุนดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับต่ำ หลัง Credit Spread ต่ำลง และยังได้ปัจจัยหนุนอื่นเพิ่มเติมอีก