น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบจัดสรรงบกลาง วงเงิน 1,334 ล้านบาทให้กระทรวงสาธารณสุข เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการบรรเทา แก้ไขปัญหา และเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 โดยจะจัดสรรส่วนหนึ่งจำนวน 500 ล้านบาทให้กรมการแพทย์ไปใช้ในการจัดซื้อยาโมลนูพิราเวียร์ จำนวน 2 ล้านเม็ด เพื่อใช้รักษาผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในกลุ่ม 607 (ผู้สูงอายุเกิน 60 ปี และ ผู้มีโรคเรื้อรัง 7 กลุ่ม)
อีกทั้งแบ่งจัดสรรให้ สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข 528.4 ล้านบาท, กรมควบคุมโรค 58.165 ล้านบาท และกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก 248.38 ล้านบาท
พร้อมทั้งอนุมัติขยายระยะเวลาการดำเนินกิจกรรมและใช้จ่ายเงินกันไว้เบิกเหลื่อมปีและเงินเหลือจ่ายจากโครงการที่ ครม.ได้มีมติให้ความเห็นชอบแล้ว ตามมติ ครม.เมื่อวันที่ 5 ม.ค.64, 5 พ.ค.64 และ 10 ส.ค.64 ซึ่งขยายเวลาไปจนถึงเดือน ธ.ค.64
สำหรับโครงการนี้มีวัตถุประสงค์ 4 ด้าน ประกอบด้วย ด้านการสร้างความเชื่อมั่น ทำให้ประชาชนมีความเชื่อมั่นในการใช้ชีวิตวิถีใหม่ (New Normal) หรือดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ภายใต้มาตรการป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 ตามหลักการแพทย์และสาธารณสุข, ด้านการสร้างความมั่นคงด้านสุขภาพ ทำให้ประชาชนมีภูมิคุ้มกันหมู่ และมีความปลอดภัยจากการเสียชีวิตจากโควิด-19 รวมถึงการรักษาระดับความมั่นคงด้านสาธารณสุขได้อย่างต่อเนื่อง, ด้านฟื้นฟูเศรษฐกิจ ทำให้เศรษฐกิจของประเทศกลับมาฟื้นตัว มีอัตราเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) เป็นไปตามแผนการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล และนโยบายการเปิดประเทศของรัฐบาล และด้าน เสริมสร้างสังคมและวัฒนธรรม ให้ประชาชนสามารถกลับมาดำเนินกิจกรรมด้านสังคมและวัฒนธรรมตามเดิมได้ โดยยังคงปฏิบัติตามมาตรการป้องกันและควบคุมโรค DMHTTA
ทั้งนี้ มีกลุ่มเป้าหมายเป็นประชากรในประเทศไทย บุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข ประชาชนกลุ่มเสี่ยงที่ปฏิบัติงานด่านหน้า กลุ่มผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป กลุ่ม 7 โรคเรื้อรัง และหญิงตั้งครรภ์ ได้รับการดูแลป้องกัน รักษาพยาบาลอย่างทั่วถึง สะดวก และรวดเร็ว ส่วนผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19 ได้รับการดูแลรักษาจากหน่วยบริการสถานพยาบาลตามระบบการสาธารณสุขที่รัฐจัดให้ตามสิทธิที่พึงได้ ระยะเวลาดำเนินการ 3 เดือน ช่วงเดือน ต.ค.-ธ.ค.64