นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา2019 (ศบค.) กล่าวว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค.ชุดใหญ่ เห็นชอบแผนการให้บริการวัคซีนโควิด-19 ตั้งแต่วันที่ 28 ก.พ.-11 พ.ย.2564 โดยมีผู้ได้รับวัคซีนสะสมจำนวน 83.3 ล้านราย แบ่งเป็นจำนวนผู้ได้รับเข็มที่ 1 สะสม 44.8 ล้านราย ผู้ได้รับวัคซีนเข็มที่ 2 สะสม 35.8 ล้านราย และผู้ได้รับวัคซีนเข็มที่ 3 สะสม 2.7 ล้านราย
พร้อมขอความร่วมมือประชาชนในการฉีดวัคซีน ซึ่งตามแผนจะมีวัคซีนเข้ามาเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ โดยในเดือนธันวาคม 64 จะเข้ามาอีก 24 ล้านโดส และมีเป้าหมายการฉีดวัคซีนเข็ม 1 ครอบคลุมอย่างน้อย 80% ส่วนเข็ม 2 ให้ครอบคลุม 70% ซึ่งรวมไปถึงการฉีดวัคซีนให้ชาวต่างชาติที่อยู่ในประเทศไทยทุกคน
นพ. ทวีศิลป์ ยืนยันว่า วัคซีนมีเพียงพอ แต่การเข้ามาฉีดวัคซีนต่ำลงและเฉื่อยลง ตอนนี้วัคซีนมีมาก แต่คนเข้ามาฉีดน้อย ทั้งนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในฐานะ ผอ.ศบค. ได้เน้นย้ำการสื่อสารทำความเข้าใจเรื่องวัคซีนเพื่อสร้างความเชื่อมั่น ซึ่งการฉีดวัคซีนเป็นเรื่องสำคัญในการไปใช้บริการในกิจกรรมต่างๆ และนโยบายของศบค.อยากให้ทุกคนได้รับวัคซีน ซึ่งหากยังมีการฉีดวัคซีนต่ำ แต่อยากเปิดประเทศก็กลายเป็นเรื่องที่สวนทางกัน
สำหรับความคืบหน้าการแก้ไขสถานการณ์โควิด-19 ในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ พล.อ. ณัฐพล นาคพาณิชย์ ที่ปรึกษานายกฯ ในฐานะผอ.ศบค.ส่วนหน้า ได้รายงานว่าแนวโน้มการติดเชื้อในพื้นที่ดีขึ้น
นพ.โสภณ เอี่ยมศิริถาวร รองอธิบดีกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) คาดว่ายังเหลือผู้ที่ยังไม่ได้ฉีดวัคซีนอีกประมาณ 10 ล้านคน ดังนั้น กระทรวงสาธารณสุขจึงตั้งเป้าหมายฉีดวัคซีนให้รวดเร็วขึ้น โดยภายในเดือนพฤศจิกายนนี้ จะฉีดวัคซีนให้ได้ 100 ล้านโดส หรือประมาณ 50 ล้านคน คิดเป็น 70% ของประชากรในทุกจังหวัด โดยเฉพาะพื้นที่ท่องเที่ยว จากเดิมที่กำหนดไว้ภายในปี 2564 หรือเร็วกว่าแผนเดิม 1 เดือน เพื่อเพิ่มความปลอดภัยให้กับสังคม เนื่องจากเดือนธันวาคมจะมีเทศกาลเฉลิมฉลองส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่และมีผู้คนเดินทางจำนวนมาก รวมถึงชาวต่างชาติที่จะเดินทางมาประเทศไทยมากขึ้นหลายเท่า
ในขณะเดียวกัน ทุกภาคส่วนทั้งฝ่ายปกครอง ท้องถิ่น กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน เจ้าของสถานประกอบการ บริษัทเอกชน และภาคประชาสังคมต้องร่วมมือกันกระตุ้นเตือน ชักชวน และนำผู้ยังไม่ได้ฉีดวัคซีนให้มาฉีดวัคซีนในสถานพยาบาล หรือจุดที่กำหนดโดยเร็ว โดยสูตรการฉีดวัคซีนในเดือนพฤศจิกายนนี้ สามารถเริ่มเข็มแรกเป็นวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้า และนัดฉีดเข็ม 2 เป็นไฟเซอร์ ห่างกัน 4 สัปดาห์ เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันได้เร็วและปลอดภัย ส่วนในเด็กอายุ 12-17 ปี ยังฉีดวัคซีนไฟเซอร์ 2 เข็มตามเดิม
สำหรับกลุ่มผู้ป่วยที่เสียชีวิตขณะนี้ ส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่ม 608 (ผู้สูงอายุ ผู้ป่วย 7 กลุ่มโรค และสตรีตั้งครรภ์ 12 สัปดาห์ขึ้นไป) ประมาณ 70% ซึ่งยังไม่ได้รับวัคซีน ดังนั้น กลุ่ม 608 จึงเป็นเป้าหมายสำคัญในการฉีดวัคซีนให้ได้อย่างน้อย 80% เพื่อให้มีความปลอดภัย ลดการป่วยหนักและเสียชีวิต