นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.สาธารณสุข เป็นประธานเปิดการประชุมเชิงปฏิบัติการจัดทำแผนเตรียมความพร้อมรองรับการเปิดประเทศ และรองรับการระบาดโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2565 ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ผ่านระบบออนไลน์ โดยระบุว่า จากรายงานประจำวันเห็นได้ว่าประเทศไทยควบคุมสถานการณ์ได้ดีขึ้น ซึ่งเป็นผลจากความร่วมมือของทุกภาคส่วน ประชาชนได้รับวัคซีนแล้ว 86 ล้านโดส ยืนยันว่าปีนี้มีวัคซีนอย่างเพียงพอ
สำหรับปีหน้า คาดว่าจะมีวัคซีนอย่างน้อย 90 ล้านโดส ประกอบด้วย วัคซีนแอสตราเซนเนก้า 60 ล้านโดส และวัคซีนไฟเซอร์ 30 ล้านโดส ไม่รวมวัคซีนโปรตีนโนวาแวกซ์ วัคซีนที่ทางองค์การเภสัชกรรม (อภ.) และวัคซีนคณะแพทย์ที่กำลังพัฒนากันอยู่ เพื่อให้ได้รับวัคซีนเข็มที่ 3 กันถ้วนหน้า พร้อมกับการสำรวจภูมิคุ้มกันอย่างต่อเนื่อง แต่สิ่งสำคัญคือการทำความเข้าใจว่า การได้รับวัคซีนจะช่วยไม่ให้อาการของโรคทวีความรุนแรง และทำควบคู่ไปกับมาตรการป้องกันการติดเชื้อโควิด-19 ขั้นสูงสุด แบบครอบจักรวาล หรือ Universal Prevention เพื่อให้ทุกคนกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติ
"เมื่อวานนี้ (17 พ.ย.) ได้รับข่าวว่า รัฐบาลฝรั่งเศสบริจาควัคซีนไฟเซอร์ 4 แสนโดส พร้อมส่วนผสมและไซลิงค์ให้กับไทย ซึ่งจะมีการจัดสรรวัคซีนต่อไป พร้อมกันนั้น ต้องดำเนินการตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีที่แสดงความห่วงใยต่อคนไทย 11 ล้านคนที่ยังไม่ได้รับวัคซีนเข็มแรก ด้วยความเชื่อ ความจำเป็น หรือเหตุสุดวิสัย ทางกรมควบคุมโรค สาธารณสุขจังหวัด และผู้ว่าราชการจังหวัด ต้องทำงานเชิงรุกให้ประชาชนได้รับวัคซีนไม่เกินเดือนธ.ค." นายอนุทิน กล่าว
นายอนุทิน กล่าวต่อว่า กระทรวงสาธารณสุข ใช้มาตรการที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชนมากที่สุด ในกรณีที่ตรวจด้วยชุด ATK ผู้ติดเชื้อไม่มีอาการให้ประชาชนดูแลที่บ้าน (Home Isolation) พร้อมด้วยการดูแลในระบบชุมชน (Community Isolation) ช่วยให้ควบคุมสถานการณ์ได้ จากการทำงานร่วมกับสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) นอกจากนี้ ยังได้ดำเนินการเรื่องเวชภัณฑ์และยา ตามที่นายกรัฐมนตรีดำริไว้ให้คนไทยเข้าถึงยารักษาโควิด-19 ในทุกตระกูล และขอให้ทุกคนร่วมมือร่วมใจกันใช้ประสบการณ์ที่ผ่านมา ทำให้สถานการณ์โควิด 19 ลดความรุนแรงจนกลายเป็นโรคประจำถิ่นต่อไป
ด้านนพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในประเทศไทย มีแนวโน้มคลี่คลายไปในทางที่ดี รัฐบาลจึงได้ประกาศนโยบายเปิดประเทศเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ทางกระทรวงสาธารณสุข ได้เตรียมความพร้อมด้านการแพทย์และสาธารณสุข โดยจัดทำแผนปฏิบัติการรองรับการเปิดประเทศ และการระบาดโควิด-19 พ.ศ. 2565 ด้านสาธารณสุขขึ้น โดยกำหนดทิศทางของแผนไว้ 4 เป้าหมาย 5 กลยุทธ์ และ 6 ตัวชี้วัด เพื่อสร้างความเชื่อมั่น สร้างความมั่นคงด้านสุขภาพ ฟื้นฟูเศรษฐกิจ ตลอดจนเสริมสร้างสังคมและวัฒนธรรม และเพื่อให้แผนปฏิบัติการฯ เป็นกลไกในการบริหารจัดการแบบบูรณาการ ร่วมกับภาคีเครือข่ายระดับจังหวัด
"ศบค. ได้มีข้อสั่งการให้กระทรวงสาธารณสุข โดยกรมควบคุมโรค ในฐานะกรรมการและเลขานุการ คณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ จัดประชุมเชิงปฏิบัติการในครั้งนี้ขึ้น โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อระดมความคิดเห็น ข้อเสนอแนะ และแลกเปลี่ยนเรียนรู้ เพื่อนำไปพัฒนาแผนปฏิบัติการฯ ของแต่ละจังหวัดให้สมบูรณ์ เหมาะสมกับสถานการณ์ในพื้นที่ต่อไป" อธิบดีกรมควบคุมโรค ระบุ