นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค.แถลงผลการประชุม ศบค.ชุดใหญ่ที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหมเป็นประธานว่า ที่ประชุม ศบค.เห็นชอบขยายระยะเวลาการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินครั้งที่ 15 เป็นระยะเวลา 2 เดือน ตั้งแต่วันที่ 1 ธ.ค.64-31 ม.ค.65 เนื่องจากมีช่วงระยะเวลาคาบเกี่ยวกับเทศกาลปีใหม่ ทั้งนี้ เพื่อให้เกิดความชัดเจนในการปฏิบัติหน้าที่และการดำเนินชีวิตของประชาชน
พร้อมกันนั้น ศบค.เห็นชอบการปรับระดับพื้นที่สถานการณ์ทั่วราชอาณาจักร ดังนี้ ยกเลิกพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด (แดงเข้ม) จากเดิมที่มีอยู่ 6 จังหวัด ซึ่งจะมีผลทำให้การประกาศห้ามการเดินทางออกนอกเคหะสถาน (เคอร์ฟิว) ถูกยกเลิกไปด้วย
พื้นที่ควบคุมสูงสุด(สีแดง) เดิม 39 จังหวัด ลดเหลือ 23 จังหวัด ประกอบด้วย ขอนแก่น จันทบุรี ชุมพร เชียงราย เชียงใหม่ ตรัง ตราด ตาก นครราชสีมา นครศรีธรรมราช นราธิวาส ประจวบคีรีขันธ์ ปราจีนบุรี ปัตตานี พระนครศรีอยุธยา พัทลุง ยะลาระยอง สงขลา สตูล สระบุรี สระแก้ว และสุราษฎร์ธานี
พื้นที่ควบคุม (สีส้ม) คงเดิม 23 จังหวัด
พื้นที่เฝ้าระวังสูง (สีเหลือง) จากเดิม 5 จังหวัด ปรับเพิ่มเป็น 24 จังหวัด
พื้นที่นำร่องท่องเที่ยว (สีฟ้า) จากเดิม 4 จังหวัด ปรับเพิ่มเป็น 7 จังหวัด ประกอบด้วย กรุงเทพฯ กระบี่ พังงา ภูเก็ต กาญจนบุรี นนทบุรี และ ปทุมธานี โดยพื้นที่นำร่องท่องเที่ยวให้ใช้มาตรการเช่นเดียวกับพื้นที่เฝ้าระวัง ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 1 ธ.ค.64 เป็นต้นไป
นพ.ทวีศิลป์ กล่าวว่า ที่ประชุม ศบค.เห็นชอบการปรับมาตรการป้องกันควบคุมโควิด-19 ในกิจการสถานบันเทิง เพื่อรองรับการกลับมาเปิดให้บริการ ซึ่งที่ประชุมใช้เวลาพูดคุยประเด็นนี้กันพอสมควร โดยหากย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 12 พ.ย.ที่ผ่านมาที่ประชุม ศบค.ได้พิจารณาให้มีการเตรียมความพร้อม ทั้งหน่วยงานของรัฐในการจัดทำมาตรการตรวจประเมินและอนุญาตให้เปิดกิจการสถานบันเทิง และผู้ประกอบการทำการปรับปรุงสถานบันเทิง เพื่อเปิดสถานบันเทิงในวันที่ 16 ม.ค.65 แต่จะต้องดูตามสถานการณ์ด้วย
แต่ในช่วงเวลาที่ผ่านมามีผู้ประกอบการและผู้ที่ทำงานกลางคืนที่ได้รับผลกระทบจากนโยบายดังกล่าว จึงร้องขอให้พิจารณาเปิดดำเนินการภายในเดือน ธ.ค.นี้ โดยมีการยื่นข้อเสนอให้พล.อ.สุพจน์ มาลานิยม เลขาธิการสภาความมั่นคง (สมช.) ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด (ผอ.ศปก.ศบค.) ซึ่งได้มีการนำเรื่องดังกล่าวเข้าเสนอในที่ประชุมศปก.ศบค. รวมถึงนำเข้าสู่ที่ประชุมกระทรวงสาธารณสุข และที่ประชุมศบค.ชุดใหญ่
ดังนั้น ที่ประชุม ศบค.จึงมีข้อคิดเห็นรายข้อ โดยมีเหตุผลว่าหากเปิดสถานบันเทิงจะมีความเสี่ยงในหลายประเด็น คือ 1.สถานที่ผับ บาร์ และคาราโอเกะจะมีปัญหาการถ่ายเทอากาศอาจเกิดการติดเชื้อได้ง่าย 2.พฤติกรรมการดื่มส่วนใหญ่จะต้องเปิดหน้ากากอนามัย และมีการพูดคุยกัน และ 3.ระยะเวลาที่อยู่ร่วมกันจะนานกว่าปกติหลายชั่วโมง และหากย้อนไปประวัติการติดเชื้อโควิด-19 ที่เกิดจากคลัสเตอร์ใหญ่เกี่ยวข้องกับสถานบันเทิงมีไม่ต่ำกว่า 2 คลัสเตอร์ตั้งแต่ปี 63
"ปีที่แล้วเราพลาดการฉลองปีใหม่ เพราะมีการระบาดช่วงก่อนปีใหม่ไม่นาน ทำให้ภาพลักษณ์การส่งเสริมการท่องเที่ยวขาดช่วงไป การประกาศศักยภาพของประเทศต่างๆ การใช้เทศกาลฉลองปีใหม่ถือเป็นเรื่องที่สำคัญ ในที่ประชุมจึงเห็นชอบว่า ทางกระทรวงสาธารณสุขเสนอขอให้ดำเนินการตามแผนงานที่กำหนดไว้เดิม"นพ.ทวีศิลป์ กล่าว
นพ.ทวีศิลป์ กล่าวว่า ศบค.เห็นใจประชาชนที่ทำงานในสถานบันเทิง ดังนั้น จึงเห็นชอบให้การกลับมาเปิดสถานบันเทิงได้เมื่อใดนั้นให้พิจารณาจากความพร้อมเป็นระยะ หากผู้ประกอบการ ผู้ดำเนินการ หรือทำงานในสถานบันเทิง ให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่อาจจะได้เปิดเร็วกว่าวันที่ 16 ม.ค.65 ซึ่งสิ่งสำคัญอยู่ที่สิ่งแวดล้อมและตัวบุคคล
สำหรับแผนการปรับมาตรการ ซึ่งอยู่ระหว่างขั้นตอนเตรียมความพร้อม ตั้งแต่วันที่ 1 ธ.ค.เตรียมความพร้อมการเปิดโดยผู้ประกอบการทำการปรับปรุงสภาพแวดล้อม ระบบระบายอากาศและเร่งรัดให้บุคลากรได้รับวัคซีน 100% เพื่อเตรียมความพร้อม ในการเปิดทำการประเมินขึ้นทะเบียนสถานบันเทิง และออกใบอนุญาตเปิดดำเนินการกรณีผ่านการประเมินเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม แผนพิจารณาเปิดสถานบันเทิงเมื่อมีความพร้อมนั้น จะเริ่มจากพื้นที่นำร่องการท่องเที่ยว (สีฟ้า) พื้นที่เฝ้าระวัง (สีเขียว)และพื้นที่เฝ้าระวังสูง (สีเหลือง) โดยอาจให้จำหน่ายสุราไม่เกินเวลา 23.00 น.เปิดบริการไม่เกินเวลา 24.00 น.และงดกิจกรรมให้บริการคาราโอเกะ งดจัดพื้นที่เต้นรำส่วนกลาง งดบริการเครื่องดื่มที่มีการใช้แก้วร่วมกัน งดกิจกรรมส่งเสริมการขายหรือการให้บริการและกิจกรรมที่มีการคลุกคลีและสัมผัสใกล้ชิดกับลูกค้า
ทั้งนี้ ยังต้องมีการกำกับติดตามประเมินสถานการณ์หากไม่มีการระบาดจากสถานบันเทิงก็ให้เปิดดำเนินการต่อไป แต่มีหากมีการระบาดจากสถานบันเทิง ไม่ปฏิบัติตามมาตรการที่กำหนดพิจารณาปิดดำเนินการควบคุมการแพร่ระบาดและกำหนดบทลงโทษ โดยนายอนุทิน ชาญวีรกูลรองนายกรัฐมนตรี และ รมว.สาธารณสุข ระบุว่ากิจการสถานบันเทิงที่อยากจะเปิดเข้ามาตรฐานความปลอดภัยสำหรับองค์กร (Covid Free Setting) ด้วย
นพ.ทวีศิลป์ เปิดเผยว่า ที่ประชุมศบค.เห็นชอบการปรับมาตรการป้องกันควบคุมโรค โควิด-19 สำหรับการเดินทางเข้าราชอาณาจักร โดยโปรแกรม Test and Go พบว่า ผู้ติดเชื้อโควิดน้อยมากโดยอยู่ในค่าเฉลี่ย 0.08% จากผู้ที่เดินทางเข้าประเทศ 64,493 ราย พบผู้ติดเชื้อ 45 ราย ข้อมูล ณ วันที่ 1-25 พ.ย.64 จึงเห็นชอบปรับผู้เดินทางเข้าประเทศทางอากาศลดเหลือการตรวจ ATK ไม่ต้องตรวจ RT-PCR เพื่อเป็นการลดเวลาในการตรวจเพื่ออำนวยความสะดวกให้นักท่องเที่ยว
นอกจากนี้ ที่ประชุม ศบค.ได้เพิ่มการเดินทางทางบก โดยให้นำร่องที่ด่านหนองคาย เริ่มในวันที่ 24 ธ.ค.นี้ และทางเรือ จะต้องได้รับวัคซีนครบและมีการลงทะเบียน และจะต้องมีการตรวจ RT-PCR 1 ครั้ง ถ้าหากไม่พบเชื้อสามารถลงเรือได้ และที่ประชุมศบค.ยังเห็นชอบการขอเอกสารรับรองวัคซีนในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์จากแอพพลิเคชั่นหมอพร้อม โดยไม่มีค่าใช้จ่ายเพื่อเป็นของขวัญปีใหม่ให้กับประชาชนที่ต้องการเดินทางไปต่างประเทศ แต่ขึ้นอยู่กับประเทศต้นทางว่ารับเอกสารรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์หรือไม่
ทั้งนี้ นพ.ทวีศิลป์ เปิดเผยอีกว่า นายสุชาติ ชมกลิ่น รมว.แรงงาน รายงานที่ประชุมศบค.ถึงสถานการณ์แรงงานในประเทศและความก้าวหน้าในการนำแรงงานเข้าประเทศภายใต้การทำ MOU เพื่อแก้ปัญหาขาดแคลนแรงงาน โดยมีเป้าหมายนำเข้าแรงงาน 424,703 คน และมีการเปิดสถานที่สำหรับกักตัว 5 จังหวัด ที่ตาก ระนอง หนองคาย มุกดาหาร และสระแก้ว ซึ่งได้มีการพูดคุยกับประเทศต้นทาง ทั้งลาว กัมพูชา และเมียนมา
อย่างไรก็ตาม ผู้ที่ลักลอบเข้าเมืองและผู้ประกอบการไม่ต้องลักลอบเข้ามาอีก เพราะไม่นานจะเข้าเมืองมาอย่างถูกกฎหมาย 4 แสนกว่าคน ซึ่งปลอดโรคและปลอดภัยเข้ามาช่วยทำงานในประเทศไทยจึงไม่มีเหตุผลต้องลักลอบเข้ามาอีก