สธ. ยันยังไม่พบโควิดสายพันธุ์โอไมครอนในไทย ย้ำการตรวจ PCR-ATK ยังใช้ได้

ข่าวทั่วไป Monday November 29, 2021 14:52 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นพ.ศุภกิจ ศิริลักษณ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เปิดเผยว่า ขณะนี้การรระบาดของโควิดทั่วโลกยังเป็นสายพันธุ์เดลตาเป็นส่วนใหญ่ โดยกรมวิทยาศาสตร์ได้มีการตรวจหาสายพันธุ์โควิดอย่างสม่ำเสมอ ตั้งแต่เปิดประเทศวันที่ 1 พ.ย. 64 ที่ผ่านมา ได้มีการตรวจสายพันธุ์ทั้งหมด 45 ตัวอย่างจากนักท่องเที่ยวต่างประเทศ ยังไม่พบโควิดสายพันธุ์โอไมครอน และอยู่ระหว่างการวิเคราะห์อีก 30 ตัวอย่าง สำหรับนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้าประเทศจะต้องตรวจหาเชื้อด้วย RT-PCR ทุกราย และเมื่อผลเป็นบวกจะทำการส่งตรวจหารหัสพันธุกรรมของโควิดสายพันธุ์โอไมครอนต่อไป

ทั้งนี้ การตรวจหาเชื้อด้วย RT-PCR ยังสามารถตรวจหาเชื้อโควิดสายพันธุ์โอไมครอนได้ แต่เวลาเกิดการกลายพันธุ์ อย่างล่าสุดเกิดโควิดสายพันธุ์โอไมครอน อาจมีการตรวจบางยีนไม่พบ แต่บางยีนอาจโผล่ขึ้นมาได้ ดังนั้นการตรวจมากกว่า 1 ยีน ทำให้โอกาสที่จะตรวจไม่พบเกิดได้ต่ำมาก จึงขอให้ประชาชนมีความมั่นใจในขณะนี้

อย่างไรก็ตาม น้ำยาตรวจหาสารพันธุกรรม SARS-CoV-2 โดยวิธี Real-time RT-PCR มีชุดตรวจที่ผ่านการประเมินขององค์การอาหารและยา (อย.) แล้วจำนวน 104 ยี่ห้อ แบ่งเป็น ชุดตรวจที่ตรวจยีนเป้าหมาย S ร่วมกับยีนอื่น มีจำนวน 15 ยี่ห้อ, ชุดตรวจที่ตรวจยีนเป้าหมาย N ร่วมกับยีนอื่น มีจำนวน 87 ยี่ห้อ และชุดตรวจที่ตรวจยีนเป้าหมาย N และ S มีจำนวน 2 ยี่ห้อ

ในส่วนของชุดตรวจที่ตรวจยีนเป้าหมาย N และ S จำนวน 2 ยี่ห้อนั้น หากมีการกลายพันธุ์ พันธุกรรมบางตำแหน่งบน N และ S หายไป อาจมีโอกาสที่จะตรวจไม่พบเชื้อได้ หรือเกิดการกลายพันธุ์ในจุดที่น้ำยาไม่สามารถตรวจพบได้ จึงจะมีการประสานงานกับผู้นำเข้า และผู้จัดจำหน่ายชุดตรวจทั้งสองยี่ห้อเพื่อดูรายละเอียดต่อไป อย่างไรก็ดี โอกาสที่การตรวจหาเชื้อจะหลุดรอดไปได้นั้นถือว่ามีน้อยมาก คือ 2 ใน 104 ยี่ห้อที่อาจตรวจไม่พบ

สำหรับเทคนิคการตรวจสายพันธุ์ มีทั้งหมด 3 ระบบ คือ 1. ต้องตรวจด้วย RT-PCR ด้วยน้ำยาของแต่ละสายพันธุ์ เช่น นำน้ำยาของเดลตาไปตรวจ ถ้าผลเป็นบวก คือเจอเชื้อเดลตา เป็นต้น ซึ่งเป็นวิธีที่สามารถทำได้รวดเร็ว 2. Target sequencing ใช้เวลา 3 วัน ตรวจตำแหน่งพันธุกรรมว่ามีหน้าตาเหมือนชนิดใด และ 3. Whole genome sequencing การถอดรหัสพันธุกรรรม ซึ่งจะใช้ระยะเวลานาน 7 วัน

อย่างไรก็ดี จากการวิเคราะห์ของกรมการแพทย์ พบว่า สายพันธุ์โอไมครอน มีการกลายพันธุ์บางส่วนคล้ายเดลตาพลัส และเบตา คือ ตำแหน่ง K417N และอัลฟาตำแหน่ง HV69-70deletion ดังนั้น เมื่อตรวจแล้วพบตำแหน่งสองสายพันธุ์ คือ K417N และ HV69-70deletion จึงอาจระบุได้ว่าเป็นโควิดสายพันธุ์โอไมครอน ซึ่งเป็นการตรวจจับที่รวดเร็วกว่าการตรวจรหัสพันธุกรรม นอกจากนี้ จากการสันนิษฐานตามตำแหน่งที่กลายพันธุ์เป็นโควิดสายพันธุ์โอไมครอน พบว่าอาจมีการแพร่เชื้อได้เร็วขึ้น เปลี่ยนสายพันธุ์ได้ค่อนข้างเร็ว และพบเชื้อต่อคนได้ค่อนข้างมาก

ส่วนการตรวจหาเชื้อด้วยชุดตรวจ Antigen Test Kit (ATK) พบว่า เบื้องต้นการตรวจ ATK ยังสามารถใช้ได้อยู่ จากข้อมูลที่แอนติบอดี้ในชุดตรวจ ATK สามารถจับกับโปรตีน N ของเชื้อโรคโควิด-19 ประกอบกับการกลายพันธุ์ที่เกิดขึ้น ยังไม่มีหลักฐานยืนยันว่าส่งผลกระทบต่อการตรวจด้วย ATK

"มาตรการที่จะสู้กับโควิดสายพันธุ์โอไมครอน คือ ยังต้องฉีดวัคซีนให้มีความครอบคลุมมากที่สุด เนื่องจากขณะนี้ข้อมูลของโอไมครอนจากทั่วโลกยังมีอยู่อย่างจำกัด ดังนั้น จึงยังต้องปฎิบัติตามมาตรการสำคัญ ที่ถ้าปฎิบัติตามอย่างครบถ้วนสายพันธุ์ใหม่ก็จะไม่เป็นที่กังวลมากนัก" นพ.ศุภกิจ กล่าว

ด้าน นพ.เฉวตสรร นามวาท ผู้อำนวยการกองควบคุมโรคและภัยสุขภาพในภาวะฉุกเฉิน สธ. เปิดเผยว่า ขณะนี้ประเทศไทยไม่เปิดให้ 8 ประเทศในทวีปแอฟริกาใต้เดินทางเข้าประเทศ เนื่องจากมีการพบเชื้อโควิดสายพันธุ์โอไมครอน ได้แก่ ประเทศนามิเบีย ซิมบับเว บอตสวานา เลโซโท เอสวาตีนี โมซัมบิก แอฟริกาใต้ มาลาวี และเอสวาตีนี ส่วนประเทศอื่นๆ ในทวีปแอฟริกาถ้าเข้ามาในประเทศไทยจะต้องมีการกักตัว 14 วัน

สำหรับประเทศที่พบการติดเชื้อโควิดสายพันธุ์โอไมครอน ได้แก่ ทวีปแอฟริกาใต้ 7 ประเทศ ได้แก่ ประเทศนามิเบีย ซิมบับเว บอตสวานา เลโซโท เอสวาตีนี โมซัมบิก แอฟริกาใต้ และมาลาวี, ทวีปยุโรป 7 ประเทศ ได้แก่ ประเทศอิตาลี เยอรมนี เนเธอร์แลนด์ เบลเยี่ยม เดนมาร์ก สหราชอาณาจักร และสาธารณรัฐเช็ก, ทวีปเอเชีย ได้แก่ ประเทศอิสราเอล และเขตบริหารพิเศษฮ่องกง และทวีปออสเตรเลีย ได้แก่ ประเทศออสเตรเลีย

ส่วนประเทศที่มีการปรับมาตรการเข้าประเทศ สำหรับผู้เดินทางมาจากภูมิภาคแอฟริกาใต้ ได้แก่

-ออสเตรเลีย ห้ามชาวต่างชาติที่เดินทางมาจาก 9 ประเทศในภูมิภาคแอฟริกาตอนใต้ในช่วง 14 วันที่ผ่านมา ได้แก่ ประเทศนามิเบีย ซิมบับเว บอตสวานา เลโซโท เอสวาตีนี โมซัมบิก แอฟริกาใต้ มาลาวี และหมู่เกาะเซเชลส์

-สหราชอาณจักร ห้ามไม่ให้ผู้ที่มาจากประเทศนามิเบีย ซิมบับเว บอตสวานา เลโซโท และเอสวาตีนี และแอฟริกาใต้ เดินทางเข้าประเทศ

-สหภาพยุโรป (อียู) ซึ่งมีสมาชิก 27 ประเทศ ได้ระงับการเดินทางจาก 7 ประเทศ ได้แก่ นามิเบีย ซิมบับเว บอตสวานา เลโซโท เอสวาตีนี โมชัมบิก และแอฟริกาใต้

-สหรัฐอเมริกา ประกาศระงับเที่ยวบินจาก 8 ประเทศ ได้แก่ นามิเบีย ซิมบับเว บอตสวานา เลโซโท เอสวาตีนี โมซัมบิก แอฟริกาใต้ และมาลาวี ตั้งแต่ 29 พ.ย. 64 เป็นต้นไป

-แคนาดา ห้ามชาวต่างชาติที่เพิ่งเดินทางมาจาก 7 ประเทศแอฟริกาในช่วง 14 วันที่ผ่านมา

-อิสราเอล ห้ามพลเมืองแอฟริกาใต้เข้าประเทศ และห้ามชาวอิสราเอลเดินทางไป 7 ประเทศในภูมิภาคแอฟริกาใต้

-สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (ยูเออี) ชาอุดิอาระเบีย และบาห์เรน จะเริ่มห้ามนักท่องเที่ยวจาก 7 ประเทศ ตั้งแต่วันที่ 29 พ.ย. 64

-ญี่ปุ่น ออกมาตรการจำกัดผู้ที่เดินทางจาก 6 ชาติในแอฟริกาใต้ และให้ชาวญี่ปุ่นที่เดินทางมาจาก 6 ประเทศนี้ ต้องกักตัวในสถานกักตัวของรัฐเป็นเวลา 10 วัน และตรวจหาเชื้อโควิด 3 ครั้งในช่วงเวลากักตัว

-อิหร่าน และบราซิล ห้ามนักเดินทางจาก 6 ประเทศ

-สิงคโปร์ เพิ่มรายชื่อ 7 ประเทศให้อยู่ในบัญชีแดง

สำหรับการคาดการณ์ผลจากมาตรการป้องกันควบคุมโรคหลังเปิดประเทศ เปรียบเทียบกับจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ ภาพรวมประเทศไทยสามารถควบคุมการแพร่ระบาดได้ค่อนข้างดี โดยจำนวนผู้ติดเชื้อ และจำนวนผู้เสียชีวิตเริ่มลดลงอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ ต้องจับตา และเฝ้าระวังโควิดสายพันธุ์โอไมครอน ประกอบกับการฉีดวัคซีนให้ทั่วถึง และการปฎิบัติตามมาตรการอย่างเข้มงวด


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ