(เพิ่มเติม) ศาลฎีกาตัดสินโทษจำคุก "เปรมชัย" คดีล่าเสือดำ 2 ปี 6 เดือน พร้อมปรับ 2 ลบ.

ข่าวทั่วไป Wednesday December 8, 2021 12:19 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ศาลฎีกามีคำพิพากษาให้นายเปรมชัย กรรณสูต อดีตประธานกรรมการ บมจ.อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ (ITD) มีความผิดคดีล่าเสือดำ ซึ่งเป็นสัตว์ป่าคุ้มครอง เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าโดยไม่ได้รับอนุญาต ให้รับโทษจำคุก 2 ปี 6 เดือน ไม่รอลงอาญา พร้อมทั้งลงโทษจำคุกจำเลยอีก 2 ราย โดยให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายจำนวน 2 ล้านบาทตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ แต่ให้ปรับอัตราดอกเบี้ยให้เป็นไปตามกฎหมายใหม่

สำหรับจำเลยอีก 2 ราย คือ นายยงค์ โดดเครือ คนขับรถ รับโทษจำคุก 2 ปี 9 เดือน และนายธานี ทุมมาศ พรานป่า รับโทษจำคุก 2 ปี 13 เดือน

"การที่จำเลยขอให้รอการลงโทษ ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าคำขอนั้นฟังไม่ขึ้น จึงไม่รอลงโทษ คดีเสือดำจึงเป็นอันสิ้นสุดในวันนี้" นายอิทธิพร แก้วทิพย์ อธิบดีอัยการ สำนักงานคดีอาญา ในฐานะโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด แถลงในวันนี้

สำหรับรายละเอียดของคดีนี้ พนักงานอัยการจังหวัดทองผาภูมิเป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายเปรมชัย เป็นจำเลยที่ 1, นายยงค์ เป็นจำเลยที่ 2, นางนที เรียมแสน แม่ครัว เป็นจำเลยที่ 3 และนายธานี เป็นจำเลยที่ 4 ในข้อหาล่าสัตว์คุ้มครอง หรือเสือดำ บริเวณป่าในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร จังหวัดกาญจนบุรี โดยไม่ได้รับอนุญาต และข้อหาอื่นๆ อีกหลายข้อหา

ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 19 มี.ค.62 ศาลจังหวัดทองผาภูมิ พิพากษาลงโทษจำคุกนายเปรมชัย 16 เดือน, นายยงค์ 13 เดือน, นางนที 4 เดือน ปรับ 10,000 บาท โทษจำคุกให้รอลงอาญา 2 ปี และ นายธานี 2 ปี 17 เดือน โดยได้มีการยกฟ้องจำเลยทั้งหมดในบางข้อหา

ต่อมาพนักงานอัยการ โดยอธิบดีอัยการสูงสุดภาค 7 ได้ยื่นอุทธรณ์ขอให้ศาลอุทรณ์พิพากษาลงโทษจำเลยตามฟ้องของพนักงานอัยการทุกข้อหา และเมื่อวันที่ 12 ธ.ค.62 ศาลอุทธรณ์ภาค 7 ได้แก้คำพิพากษาศาลชั้นต้น โดยสรุปมีคำพิพากษาลงโทษจำเลยทุกข้อหา เพิ่มเติมตามที่อธิบดีภาค 7 ได้ยื่นอุทธรณ์ไว้ พร้อมเพิ่มโทษนายเปรมชัย เป็นจำคุก 2 ปี 14 เดือน, นายยงค์ เพิ่มโทษเป็นจำคุก 2 ปี 17 เดือน, นางนที เพิ่มโทษเป็นจำคุก 1 ปี 8 เดือน รอการลงอาญา และนายธานี เพิ่มโทษเป็นจำคุก 2 ปี 21 เดือน

ทั้งนี้ จำเลย 3 ราย ได้แก่ นายเปรมชัย นายยงค์ และนายธานี ได้ยื่นฎีกาต่อศาลฎีกา ส่วนคดีของนางนทีไม่มีฝ่ายใดยื่นฎีกา คดีจึงเป็นอันยุติตามคำพิพากษาของศาลอุทรณ์ภาค 7 และในวันนี้ศาลฎีกาตัดสินโดยมีคำพิพากษาว่า ฎีกาของจำเลยทั้ง 3 คน ฟังไม่ขึ้น และไม่มีเหตุให้รอการลงโทษ

อย่างไรก็ดี ภายหลังที่มีการดำเนินคดีไปแล้ว ได้มีการแก้ไขพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2535 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมเมื่อปีพ.ศ. 2562 ให้ยกเลิกมาตรา 55 ว่าด้วยเรื่องร่วมกันช่วยซ่อนเร้นช่วยพาเอาไปเสียหรือรับไว้ซึ่งซากสัตว์ป่าอันได้มาโดยกระทำความผิดกฎหมาย ดังนั้น ศาลฎีกาจึงพิพากษาให้ยกฟ้องในความผิดฐานนี้ และได้แก้ไขโทษของจำเลยทั้ง 3 คนที่ได้ยื่นฎีกา โดยลดโทษลงคนละ 8 เดือน และยังให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายจำนวน 2 ล้านบาท ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น และคำพิพากษาศาลอุทรณ์ โดยให้ปรับดอกเบี้ยให้เป็นไปตามกฎหมายใหม่


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ