น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) รับทราบผลการดำเนินงานตามข้อเสนอแนะเพื่อป้องกันการทุจริตเกี่ยวกับรถบรรทุกน้ำหนักเกินของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ โดยมีการแต่งตั้งคณะกรรมการพิจารณาแนวทางการดำเนินการเพื่อป้องกันการทุจริตเกี่ยวกับรถบรรทุกน้ำหนักเกินและได้ประชุมครั้งแรกเมื่อวันที่ 21 ม.ค.65 มีสาระสำคัญ เช่น ประเด็นเรื่องการบังคับใช้กฎหมายให้สามารถเอาผิดและลงโทษผู้ประกอบการที่บรรทุกน้ำหนักเกินอย่างเป็นรูปธรรม ในประเด็นนี้การจับกุมรถบรรทุกน้ำหนักเกินของกรมทางหลวงและกรมทางหลวงชนบท จะสิ้นสุดเมื่อลงบันทึกประจำวันที่สถานีตำรวจในท้องที่ และจะมีการเพิ่มข้อความในบันทึกการจับกุมให้ดำเนินการกับผู้ว่าจ้างด้วย
ทั้งนี้ กรมทางหลวงจะสรุปผลการจับกุมรถบรรทุกน้ำหนักเกินเป็นรายเดือน ให้กรมการขนส่งทางบกดำเนินการลงโทษในส่วนที่เกี่ยวข้อง โดยจะมีการระบุหมายเลขทะเบียนรถ จังหวัดที่รถจดทะเบียน และระบุว่ารถมีการดัดแปลงหรือไม่ หากพบว่ามีการกระทำความผิดให้ลงโทษตามกฎหมายอย่างเคร่งครัดต่อไป
นอกจากนี้ หน่วยงานในสังกัดกระทรวงคมนาคม ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ ภาคอุตสาหกรรมปิโตรเลียม และสหพันธ์และสมาคมด้านการขนส่งได้มีการลงนามในเอ็มโอยู โครงการรถบรรทุกสีขาวว่าด้วยความร่วมมือในการกำกับควบคุมยานพาหนะไม่ให้บรรทุกน้ำหนักเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด และมีการจัดอบรมให้ความรู้แก่หัวหน้าส่วนราชการ เจ้าพนักงานทางหลวง และเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องเพื่อนำไปใช้ในการปฏิบัติงาน และให้กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นคัดเลือก อปท.ที่มีปัญหาเรื่องรถบรรทุกน้ำหนักเกินและขยายผลในพื้นที่อื่นๆ เพื่อรวบรวมให้กรมทางหลวงชนบทดำเนินการต่อไป และให้กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่และสำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย รวบรวมรายชื่อสมาคม สมาพันธ์ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการขนส่งด้วยรถบรรทุก เพื่อให้กรมทางหลวงจัดทำเอ็มโอยูเพิ่มเติมต่อไป
สำหรับประเด็นเรื่องการแก้ไขปัญหาการบังคับใช้กฎหมายนั้น กรมทางหลวงได้ศึกษาแนวทางแก้ไขกฎหมายในเบื้องต้นแล้ว โดยจะแก้ไขจากโทษอาญาให้เป็นโทษทางแพ่งที่มีอัตราก้าวหน้า รวมทั้งได้ศึกษาการเก็บค่าธรรมเนียมรถบรรทุกพิเศษ เช่น กลุ่มรถขนาดใหญ่ โดยจะแก้ไข พ.ร.ก.ค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนต์บนทางหลวงและสะพาน พ.ศ.2497 ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างศึกษารายละเอียด และที่ประชุมได้มอบหมายให้กรมทางหลวงประสานกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อพิจารณาการแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องเพื่อให้สามารถบังคับใช้กฎหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น