พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม กล่าวถึงผลการประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2565 ว่า เป็นการหารือเกี่ยวกับมิติความมั่นคงที่หลากหลาย ทั้งด้านเอกภาพในดินแดน เศรษฐกิจ และเนื่องจากโลกมีการเปลี่ยนแปลง จึงต้องปรับแผนการดำเนินการให้ทันสมัย สามารถรองรับเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นให้ได้อย่างเต็มที่ โดยเฉพาะความมั่นคงในพื้นที่ชายแดนภาคใต้ และสงครามที่เกิดขึ้น
ที่ประชุม สมช. ได้รับทราบรายงานสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างรัสเซีย-ยูเครน พร้อมเห็นชอบแนวทางเสริมสร้างการอยู่ร่วมกันบนความหลากหลายทางสังคม ซึ่งมีสาระสำคัญครอบคลุมการป้องกันและแก้ไขปัญหาก่อเหตุรุนแรงที่จะนำไปสู่การบ่มเพาะแนวคิดสุดโต่งที่นิยมความรุนแรง และอาจพัฒนาเป็นการก่อการร้าย โดยเฉพาะการก่อเหตุเพียงลำพัง รวมถึงเพื่อให้ทุกภาคส่วนของสังคมไทย มีศักยภาพในการป้องกัน และรับทราบการปรับการดำเนินงานของคณะที่ปรึกษาของสภาความมั่นคงแห่งชาติ ซึ่งทำหน้าที่ในการติดตาม ประเมิน และวิเคราะห์สถานการณ์อันเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงแห่งชาติ รวมถึงการให้ข้อเสนอแนะและกำหนดแนวทางการบริหารจัดการความมั่นคงต่อสภาความมั่นคงแห่งชาติ เพื่อให้การดำเนินงานของคณะที่ปรึกษาฯ เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และสอดคล้องกับแนวโน้มสถานการณ์ความมั่นคงในปัจจุบัน
พร้อมยืนยันบทบาทของประเทศไทย ยึดผลประโยชน์ของประเทศชาติเป็นหลัก และเป็นไปตามพันธกรณีและกฏหมายขององค์กรระหว่างประเทศ ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายนัก เพราะจะต้องคำนึงถึงพันธกรณีที่มีอยู่ คือความร่วมมือในด้านมนุษยธรรมและการยุติความรุนแรงที่เกิดขึ้นในปัจจุบันให้ได้มากที่สุด ไม่ให้เกิดผลกระทบกับประชาชน เนื่องจากหลายประเทศได้เกิดปัญหาขึ้นแล้วและได้รับผลกระทบตามมา
นายกรัฐมนตรี ยังฝากให้สื่อมวลชนนำเสนอข่าวอย่างระมัดระวัง อย่าวิพากษ์วิจารณ์จนส่งผลกระทบตามมา และยืนยันว่ารัฐบาลจะเคารพตามพันธสัญญาและระมัดระวังให้มากที่สุด ซึ่งจากการพบปะหารือกับเอกอัครราชทูตหลายประเทศ ได้มีการชี้แจงเรื่องเหล่านี้ และประเทศเหล่านั้นพอใจในคำตอบของตน ซึ่งรัฐบาลจะแก้ปัญหาให้เร็วที่สุด โดยเฉพาะปัญหาที่ทับซ้อนอยู่ ซึ่งปัจจุบันพบปัญหาเทคโนโลยีที่เข้ามา เช่น เฟคนิวส์ หรือการบิดเบือนข้อมูล ที่ทำให้การแก้ปัญหาดำเนินการยากขึ้น หากเทียบกับเมื่อ 10 ปีที่แล้ว ไม่มีเรื่องดังกล่าว ทำให้การแก้ปัญหาเร็วขึ้น