กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ระบุว่า จากผลการสำรวจการเฝ้าระวังพฤติกรรมสุขภาพของกองสุขศึกษา กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ โดยความร่วมมือจากสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดทั่วประเทศ และศูนย์สนับสนุนบริการสุขภาพที่ 1-12 ระหว่างวันที่ 5-31 มี.ค. 65 มีผู้ตอบแบบสำรวจทั้งสิ้น 113,847 คน อายุเฉลี่ยระหว่าง 25-26 ปี ส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง ผลสำรวจพบว่า 35.7% ของประชาชนคนไทยทั่วประเทศ มีพฤติกรรมไม่ตรวจหาโรคโควิด-19 ด้วยชุดตรวจคัดกรองโรคโควิด-19 ด้วยตนเอง (Antigen Test Kit : ATK) หรือไม่ไปรับการตรวจที่สถานพยาบาลใกล้บ้าน เมื่อสงสัยว่าตนเองมีความเสี่ยง เช่น มีการสัมผัสผู้ติดเชื้อ หรือมีอาการ
ทั้งนี้ สอดคล้องกับประเด็นการสำรวจความตระหนักรู้ต่อพฤติกรรมการป้องกันการติดเชื้อแบบครอบจักรวาล (Universal Prevention) ของประชาชนเช่นกันที่พบว่า 30.5% ประชาชนคนไทยมีความรู้สึกกลัวต่อการใช้ ATK ตรวจหาเชื้อโควิด-19 และไม่พร้อมที่จะตรวจ ATK แม้รู้ตัวว่ามีความเสี่ยง 2.3%
อย่างไรก็ดี ความจริงแล้ว หากสงสัยว่าตนเองมีความเสี่ยง โดยสังเกตอาการ เช่น มีไข้ ไอ เจ็บคอ ตาแดง ผื่นขึ้น ถ่ายเหลว และแสบคอ ฯลฯ หรือแม้ว่าจะไม่มีอาการดังกล่าว แต่เป็นผู้สัมผัสผู้ติดเชื้อโควิด-19 แบบใกล้ชิด เช่น อาศัยอยู่บ้านเดียวกัน เรียนหนังสือ หรือทำงานด้วยกัน คุยกันโดยไม่สวมหน้ากากอนามัยนานเกิน 5 นาที หรือเดินทางไปเที่ยวด้วยกัน รับประทานอาหารร่วมกัน ก็ควรที่จะตรวจ ATK
ทั้งนี้ การไม่ตรวจ ATK เพื่อหาเชื้อ ย่อมส่งผลเสียต่อตนเอง ซึ่งอาจทำให้มีอาการรุนแรงจนถึงขั้นเสียชีวิตได้ รวมทั้งยังเป็นพาหะแพร่กระจายโรคไปยังครอบครัว โดยเฉพาะผู้สูงอายุในกลุ่มอายุ 60 ปีขึ้นไป และผู้ป่วยที่อยู่ใน 7 กลุ่มโรคเรื้อรัง ซึ่งถือเป็นกลุ่มเสี่ยงต่อการรับเชื้อได้ง่าย จากความเสี่ยงของคนในครอบครัวที่ไม่รับผิดชอบตนเองด้วยการตรวจ ATK ก็จะทำให้คนในครอบครัวเสียชีวิตได้เช่นกัน
ดังนั้น เพื่อความไม่ประมาทในการแพร่กระจายโรคโควิด-19 ไปยังครอบครัว หากสงสัยว่าตนเองมีความเสี่ยง ควรตรวจคัดกรองโรคโควิด-19 ด้วยตนเอง โดยเลือกซื้อชุดตรวจ ATK ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) และปฏิบัติตามคู่มือคำแนะนำการใช้งานให้ถูกต้องตามฉลาก เพื่อความปลอดภัยและประสิทธิภาพในการตรวจ หรือไปรับบริการตรวจที่สถานพยาบาลใกล้บ้าน เพื่อร่วมกันตระหนักในการรับผิดชอบต่อครอบครัว สังคม และเพื่อความปลอดภัยของตนเอง