นายนพดล กรรณิกา ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยเอแบคนวัตกรรมทางสังคม การจัดการและธุรกิจ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ เปิดเผยผลสำรวจเรื่อง มองเศรษฐกิจ การเมืองและสังคมปัจจุบันผ่านหัวหน้าครัวเรือน กรณีศึกษาตัวอย่างประชาชนหัวหน้าครัวเรือนที่มีภูมิลำเนาใน 18 จังหวัดของประเทศ จำนวนทั้งสิ้น 3,317 ตัวอย่าง ซึ่งมีระยะเวลาการดำเนินโครงการระหว่างวันที่ 12-15 มีนาคม พ.ศ. 2551 ประเด็นสำคัญที่ค้นพบคือ หัวหน้าครัวเรือนที่ถูกศึกษาครั้งนี้ส่วนใหญ่หรือเกินกว่าร้อยละ 80 ติดตามข่าวเศรษฐกิจเป็นประจำทุกสัปดาห์ และเมื่อถามถึงสิ่งที่เห็นจริงในการลดราคาสินค้าอุปโภคในตลาดตามรายการที่รัฐบาลเคยประกาศผ่านสื่อมวลชน พบว่า มีประชาชนประมาณ 1 ใน 3 ระบุยังไม่เห็นลดราคา และประมาณครึ่งหรือร้อยละ 50 ที่ไม่ทราบ มีเพียงร้อยละ 15 — 20 เท่านั้นที่เห็นว่ารายการสินค้าที่รัฐบาลได้ประกาศร่วมกับภาคเอกชนในการลดราคาได้ลดราคาแล้วจริง ยิ่งไปกว่านั้น หัวหน้าครัวเรือนจำนวนมากหรือร้อยละ 41.1 ระบุว่ารายการสินค้าที่ประกาศลดราคานั้นช่วยลดค่าใช้จ่ายได้เพียงเล็กน้อยถึงช่วยไม่ได้เลย ในขณะที่ร้อยละ 32.3 ระบุช่วยได้ปานกลาง และร้อยละ 26.6 ระบุช่วยได้มากถึงมากที่สุด
ดร.นพดล กล่าวว่า ผลสำรวจที่พบเช่นนี้อาจเป็นเพราะรายการสินค้าที่รัฐบาลร่วมกับภาคเอกชนผู้ประกอบการประกาศลดราคานั้น เป็นสินค้าเฉพาะบางบริษัทหรือบางยี่ห้อของผู้ผลิตเท่านั้น และอาจเป็นสินค้าที่ไม่ได้มีการใช้กันแพร่หลายในกลุ่มหัวหน้าครัวเรือนที่ถูกศึกษาครั้งนี้
ที่น่าพิจารณาคือ หัวหน้าครัวเรือนส่วนใหญ่หรือร้อยละ 91.5 เห็นว่าควรมีการลดราคาสินค้าอื่นๆ เพิ่ม โดยอันดับแรกได้แก่ แก๊สหุงต้ม / เชื้อเพลิง ร้อยละ 37.8 อันดับสองคือ ของสด เช่น เนื้อสัตว์ ผักผลไม้ ร้อยละ 23.3 อันดับสามได้แก่ อาหารจำพวกแป้ง อาทิ ข้าวสาร ข้าวเหนียว ขนมปัง ร้อยละ 15.4 อันดับที่สี่ ได้แก่ สินค้าปรุงรส ร้อยละ 6.3 และอันดับที่ห้า ได้แก่ สินค้าสำเร็จรูป เช่น มาม่า อาหารแห้ง ร้อยละ 4.0 ตามลำดับ ที่เหลือระบุเป็นสินค้าประเภทอื่นๆ
ที่น่าเป็นห่วงคือ หัวหน้าครัวเรือนร้อยละ 46.7 ระบุรายได้เท่าเดิม ร้อยละ 40.6 ระบุรายได้ลดลง และเพียงร้อยละ 12.7 ระบุรายได้เพิ่มขึ้น เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดือนตุลาคม — ธันวาคม ปี 2550 อย่างไรก็ตาม ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 74.3 ระบุรายจ่ายเพิ่มขึ้น ในขณะที่ร้อยละ 18.3 ระบุรายจ่ายเท่าเดิม และเพียงร้อยละ 7.4 เท่านั้นที่ระบุรายจ่ายลดลง โดยหัวหน้าครัวเรือนส่วนใหญ่หรือร้อยละ 71.2 ระบุมีหนี้สิน และประมาณ 1 ใน 3 หรือร้อยละ 31.8 กำลังมีหนี้สินเพิ่มขึ้น ยิ่งไปกว่านั้น ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 58.6 มองว่าสภาวะเศรษฐกิจระดับประเทศกำลังแย่ลง ร้อยละ 32.5 มองว่ากำลังทรงตัว และมีเพียงร้อยละ 8.9 เท่านั้นที่มองว่าสภาวะเศรษฐกิจของประเทศกำลังดีขึ้น
ผลสำรวจยังพบ 10 อันดับสาเหตุที่ทำให้สภาวะเศรษฐกิจของประเทศแย่ลง พบว่า ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 88.6 ระบุราคาน้ำมันที่สูงขึ้น ร้อยละ 86.4 ระบุราคาสินค้าที่สูงขึ้น ร้อยละ 48.6 ระบุการทุจริตคอรัปชั่น ร้อยละ 41.7 ระบุการเลิกจ้างแรงงาน ร้อยละ 38.4 ระบุราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ ร้อยละ 35.5 ระบุค่าเงินบาทแข็งตัว ร้อยละ 31.7 ระบุรูปแบบการบริหารงานของรัฐบาล ร้อยละ 29.3 ระบุเศรษฐกิจทั่วโลกชะลอตัว ร้อยละ 26.2 ระบุเศรษฐกิจสหรัฐถดถอย และร้อยละ 26.0 ระบุการชุมนุมประท้วง ตามลำดับ นอกจากนี้ หัวหน้าครัวเรือนส่วนใหญ่หรือร้อยละ 59.3 มองว่าการว่างงานจะเพิ่มขึ้นในปี 2551 ในขณะที่ร้อยละ 16.9 ระบุเหมือนเดิม ร้อยละ 9.2 ระบุลดลง และร้อยละ 14.6 ไม่มีความเห็น
นอกจากนี้ หัวหน้าครัวเรือนส่วนใหญ่หรือร้อยละ 95.6 เห็นด้วยกับคำพูดที่ว่า “ออกจากบ้าน ก็เสียตังค์ (เงิน) แล้ว" โดยเฉลี่ยของการเสียเงินแต่ละครั้งที่ออกนอกบ้านคือ 405 บาท 61 สตางค์ และเมื่อสอบถามความเชื่อมั่นของหัวหน้าครัวเรือนต่อรัฐบาลชุดปัจจุบันในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจของประเทศในอีก 6 เดือนข้างหน้า เมื่อค่าคะแนนเต็ม 10 คะแนน พบว่าได้คะแนนต่ำกว่าครึ่งหรือ 4.33 คะแนน อย่างไรก็ตาม ผลสำรวจพบประชาชนระบุการสนับสนุนแนวทางการแก้ปัญหาสินค้าราคาสูงโดย นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ รวมได้ 5.91 คะแนน และสนับสนุนความร่วมมือระหว่างรัฐบาลกับบริษัทเอกชน ห้างสรรพสินค้า ร้านสะดวกซื้อ ในการลดราคาสินค้าให้กับประชาชนรวมได้ 6.85 คะแนน
ผลสำรวจยังพบด้วยว่า ร้อยละ 53.6 ระบุ เครือสหพัฒน์ฯ เป็นกลุ่มนายทุนที่หัวหน้าครัวเรือนในการศึกษาครั้งนี้นึกถึงหลังการประกาศลดราคาสินค้า รองลงมาคือ ร้อยละ 33.4 ระบุ เครือเจริญโภคภัณฑ์ และร้อยละ 31.9 ระบุบริษัทยูนิลีเวอร์ ที่เหลือร้อยละ 18.4 ระบุอื่นๆ เช่น พรอคเตอร์แอนด์แกมเบิล, เนสท์เล่, เสริมสุข เป็นต้น นอกจากนี้ เมื่อถามถึงห้างสรรพสินค้า / ร้านสะดวกซื้อ พบว่าส่วนใหญ่หรือร้อยละ 71.4 นึกถึง โลตัส ร้อยละ 52.9 นึกถึงบิ๊กซี ร้อยละ 23.2 นึกถึง คาร์ฟูร์ ร้อยละ 14.9 นึกถึงเซเว่นฯ ร้อยละ 11.9 ระบุแม็คโคร ที่เหลือร้อยละ 13.8 ระบุอื่นๆ เช่น ท็อป เดอะมอลล์ เซ็นทรัล เป็นต้น
เมื่อถามว่านึกถึงประเทศไทย นึกถึงอะไรในอีก 6 เดือนข้างหน้า พบว่า ส่วนใหญ่ร้อยละ 96.7 ระบุความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ร้อยละ 93.1 ระบุปัญหาทุจริตคอรัปชั่น ร้อยละ 76.3 สภาวะข้าวยาก หมากแพง ร้อยละ 74.3 ระบุปัญหาอาชญากรรมและยาเสพติด ร้อยละ 68.4 ระบุ สภาพบ้านป่า เมืองเถื่อน ร้อยละ 41.8 ระบุความรุนแรงที่ไม่คาดฝันในกรุงเทพมหานคร และร้อยละ 39.3 ระบุการปฏิวัติ รัฐประหาร
อย่างไรก็ตาม ร้อยละ 73.3 ระบุยังจะรู้สึกอบอุ่นใจที่มีรัฐบาลมาจากการเลือกตั้ง ร้อยละ 71.7 ระบุนายกรัฐมนตรีจะยังคงชื่อ นายสมัคร สุนทรเวช ร้อยละ 54.5 ระบุคนไทยยังคงรักสามัคคีกัน แต่เพียงร้อยละ 24.5 ระบุนึกถึงความสงบสุขของบ้านเมืองที่คนไทยส่วนใหญ่มีความสุข อย่างไรก็ตาม เมื่อถามหัวหน้าครัวเรือนว่า อีกกี่ปีที่ประเทศไทยจะมีเสถียรภาพ ความมั่นคง โปร่งใส บริสุทธิ์ ทั้งในด้านเศรษฐกิจ การเมืองและสังคม พบว่า ค่าต่ำสุดอยู่ที่ 1 ปี ค่าสูงสุดอยู่ที่ 50 ปี โดยมีค่าเฉลี่ยเท่ากับประมาณ 8 ปี
ที่น่าสนใจคือ เมื่อถามถึงความหวัง กับ ความกลัว ในกลุ่มหัวหน้าครัวเรือน พบว่า แม้ประชาชนกำลังเผชิญกับสภาวะเศรษฐกิจ การเมืองและสังคมที่มีปัญหามากมาย แต่หัวหน้าครัวเรือนส่วนใหญ่หรือร้อยละ 58.2 ยังคงเลือกที่จะหวังและก้าวต่อไปข้างหน้า ในขณะที่ร้อยละ 41.8 เลือกที่จะกลัวและกังวลต่อเหตุการณ์ต่างๆ ของประเทศ ซึ่งเคยสำรวจพบช่วงก่อนการเลือกตั้ง ส.ส. ที่ผ่านมา พบว่า คนที่หวัง กับคนที่กลัวมีสัดส่วนร้อยละ 50 ต่อ 50 แต่ผลสำรวจครั้งนี้พบคนที่เลือกที่จะหวังและก้าวต่อไปข้างหน้ามีมากกว่าคนที่กลัวและกังวลต่อสถานการณ์ต่างๆ ของประเทศ โดยมีเหตุผลที่จะหวังและก้าวต่อไปคือ คิดว่าประเทศไทยจะดีขึ้น มั่นใจในระบอบการปกครอง ให้โอกาสรัฐบาล ประเทศไทยยังมีอะไรดีอีกมาก และชีวิตเป็นเรื่องที่ต้องสู้และอดทน ในขณะที่เหตุผลที่กลัวและกังวลคือ สถานการณ์การเมืองไม่แน่นอน ความสงบยังไม่มี เศรษฐกิจแย่ลงทุกวัน คนไทยยังทะเลาะกัน และยังมีปัญหาทุจริตคอรัปชั่นอยู่มาก
นายนพดล กล่าวว่า ผลสำรวจครั้งนี้ชี้ให้เห็นว่า สภาวะเศรษฐกิจระดับประเทศที่หัวหน้าครัวเรือนรับรู้หรือมองเห็นกำลังสอดคล้องตรงกับสภาวะเศรษฐกิจระดับครัวเรือนที่พวกเขากำลังประสบปัญหาโดยก่อนหน้านี้เคยสำรวจพบว่าประชาชนมองภาพรวมเศรษฐกิจของประเทศย่ำแย่กว่าความเป็นจริงที่ระดับครัวเรือน และเมื่อพิจารณามุมมองของหัวหน้าครัวเรือนต่อเรื่องการเมืองและสังคมไทยปัจจุบันร่วมด้วย พบว่า คนไทยกำลังเผชิญกับสถานการณ์ที่น่าเป็นห่วงรอบด้านแต่คนส่วนใหญ่ยังมีความหวังและต้องการจะก้าวต่อไปข้างหน้า ดังนั้น แนวทางหนุนเสริมความหวังของประชาชนที่รัฐบาลและประชาชนทั่วไปน่าจะนำมาพิจารณาคือ การดำเนินชีวิตตามหลักเศรษฐกิจพอเพียงที่ไม่ใช่มีแต่เรื่องการประหยัดค่าใช้จ่ายในมิติของเศรษฐกิจเท่านั้น แต่เป็นเรื่องของการคิดทบทวนและดำเนินชีวิตด้วยความรอบคอบได้ในทุกมิติของชีวิต มีสติสัมปชัญญะ โดยใช้เหตุใช้ผลมากกว่าอารมณ์ความรู้สึก มีการประกันความเสี่ยงให้กับตนเองและครอบครัว ชุมชนและสังคม มีการเก็บออม ลดภาระหนี้สินค่าใช้จ่ายลง และหลีกเลี่ยงการเล่นทายพนันกับอบายมุขทุกชนิด
--อินโฟเควสท์ โดย นิศารัตน์ วิเชียรศรี โทร.0-2253-5050 ต่อ 322 อีเมล์: nisarat@infoquest.co.th--