นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.สาธารณสุข กล่าวถึงสถานการณ์โควิด-19 หลังเทศกาลสงกรานต์ว่า ต้องเฝ้าจับตาสถานการณ์ผู้ติดเชื้อรายใหม่ในช่วง 2 สัปดาห์หลังสงกรานต์ ซึ่งหวังว่าจะไม่พุ่งสูงมาก ขณะเดียวกันได้เตรียมความพร้อมทั้งเวชภัณฑ์ ยา ไว้เรียบร้อยแล้ว โดยเฉพาะยาฟาวิพิราเวียร์ เพื่อรับมือกับสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้น
ส่วนมาตรการผ่อนคลายเพิ่มเติมที่จะเสนอที่ประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) นั้นมีความจำเป็นที่จะต้องผ่อนคลาย เพื่อให้กิจกรรมด้านเศรษฐกิจเดินต่อไปได้ในทุกบริบท รวมถึงการประกอบอาชีพทำมาหากินและความสะดวกของประชาชน โดยไม่เสี่ยงต่อการติดเชื้อ
"การติดเชื้อถือเป็นเรื่องธรรมดา เนื่องจากมีการสัญจรเดินทางและใกล้ชิดกันมากขึ้น ก็ย่อมเป็นจุดเสี่ยงในการติดเชื้อ แต่เมื่อมีการฉีดวัคซีน แม้เป็นเชื้อสายพันธุ์โอมิครอนก็จะน่าจะรับมือได้ ในขีดความสามารถของระบบสาธารณสุขไทย ซึ่งส่วนตัวหวังให้เป็นเช่นนั้น แต่ต้องจับตาในห้วงสองสัปดาห์หลังจากนี้ถึงจะวางใจได้" นายอนุทิน กล่าว
ขณะที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เสนอให้ยกเลิการตรวจ RT-PCR ให้กับนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้าประเทศไทย ยอมรับว่าเป็นข้อเสนอที่จะต้องทำในวันข้างหน้า แต่เกรงว่าประชาชนจะตื่นตระหนก จึงอยากให้ผ่านช่วงเทศกาลสงกรานต์นี้ไปก่อน หากสามารถผ่านไปได้ โดยไม่มีอะไรเกินขีดความสามารถของระบบสาธารณสุขก็จำเป็นที่จะต้องหามาตรการผ่อนคลาย โดยให้ทุกอย่างกลับมาเป็นปกติโดยเร็วที่สุด และเห็นว่าการที่สาธารณสุขวางแผนให้เป็นโรคประจำถิ่นในวันที่ 1 ก.ค.นี้ก็มีการประเมินทั้งตัวเลขและอัตราส่วนผู้ติดเชื้อและผู้เสียชีวิต ซึ่งขณะนี้ยังไม่มีความแตกต่างกันมาก เนื่องจาก 3-4 เดือนที่ผ่านมาก็ยังเป็นอัตราส่วนที่เป็นไปตามหลักสากล
นายอนุทิน ยืนยันว่า ในวันที่ 1 ก.ค.นี้ยังไม่ประกาศเป็นโรคประจำถิ่น แต่เป็นการเตรียมการไว้เท่านั้น แต่หากทำได้จริงก็จะดำเนินการทันที ซึ่งจะไปกะเกณฑ์ในเรื่องนี้มากไม่ได้ แต่ขอให้ทุกส่วนมีความพร้อมในทุกด้านไว้ นั่นคือสิ่งสำคัญที่สุด ส่วนรายละเอียดว่าจะประกาศพร้อมกันทั่วประเทศ หรือเป็นพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่ง ตอนนี้ยังไม่ทราบ แต่เห็นว่าแต่ละจังหวัดจะต้องมีข้อกำหนดในจังหวัดนั้นๆ ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขได้พยายามทำงานอย่างเต็มที่ โดยเฉพาะสงกรานต์ที่ผ่านมา บุคลากรด้านสาธารณสุข ไม่ได้หยุดพัก เพราะต้องคอยดูแลประชาชน
ล่าสุดจากการรายงานของอธิบดีกรมควบคุมโรค เรื่องอุบัติเหตุก็ดีกว่าปีที่ผ่านมา ดังนั้นจึงไม่มีสิ่งไหนเกินขีดความสามารถของการให้บริการด้านสาธารณสุขไทย จึงขอบคุณประชาชนที่ให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่เป็นอย่างดี