นพ.ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (กรม สบส.) กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ระบุว่า กิจการการดูแลผู้สูงอายุ หรือที่เรียกว่า Nursing Home จะเป็นที่ต้องการมากขึ้น เพราะประเทศไทยได้ก้าวสู่การเป็นสังคมผู้สูงอายุอย่างเต็มรูปแบบ มีประชากรสูงอายุนับเป็นอันดับ 2 ของอาเซียน ผู้ประกอบการจึงต้องมาช่วยกันพัฒนาคุณภาพ และรักษาไว้ซึ่งมาตรฐานตามที่กฎหมายกำหนด เพื่อพร้อมรองรับผู้สูงวัยให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี
ทั้งนี้ จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอนที่ติดเชื้อเร็ว แพร่เชื้อง่าย ทำให้กรม สบส. ห่วงใยผู้สูงอายุที่อยู่ในสถานดูแลต่างๆ หากเกิดการติดเชื้อและไม่ได้รับการดูแลที่มีมาตรฐาน อาจทำให้เกิดความรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้ กรม สบส. จึงออกประกาศกรม เรื่อง กำหนดสถานที่อื่นเป็นสถานพยาบาล ณ ที่พำนักของผู้ป่วย ประเภท Community Isolation พ.ศ.2565 โดยกำหนดให้สถานประกอบกิจการการดูแลผู้สูงอายุหรือผู้มีภาวะพึ่งพิง ที่ได้รับอนุญาตตามกฎหมาย พ.ร.บ.สถานประกอบการเพื่อสุขภาพ พ.ศ.2559 เป็นสถานพยาบาล ณ ที่พำนักของผู้ป่วย ประเภท Community Isolation ตามประกาศกระทรวงสาธารณสุขที่ออกมาก่อนหน้านี้ โดยกิจการการดูแลผู้สูงอายุฯที่ประสงค์จะเป็นสถานพยาบาล (เป็นการชั่วคราว) ตามประกาศดังกล่าว ต้องได้รับอนุมัติจากกรม สบส. หรือสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด โดยผู้สูงอายุหรือผู้มีภาวะพึ่งพิงที่ได้รับการวินิจฉัยว่าติดเชื้อโควิด-19 ไม่ว่าจะด้วยจากการตรวจ ATK หรือ RT-PCR ต้องมีการแยกกักตัวอย่างเหมาะสม มีความปลอดภัยในสถานดูแล (Nursing Home Isolation) ตามแนวทางที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนด ระหว่างรอการส่งตัวไปยังโรงพยาบาล ในกรณีที่เตียงโรงพยาบาลเหลือน้อยหรือไม่เพียงพอ หรือดูแลจนกว่าอาการทุเลาหรือหายขาดจากโรค
ทันตแพทย์อาคม ประดิษฐสุวรรณ รองอธิบดี กรม สบส. กล่าวว่า กรณีพบว่ามีผู้สูงอายุติดเชื้อโควิด-19 ในสถานดูแลผู้สูงอายุ ผู้ประกอบการต้องรายงานผลการติดเชื้อต่อเจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อในพื้นที่ทันที และประสานส่งต่อผู้สูงอายุที่ติดเชื้อไปยังสถานพยาบาลที่ผู้ป่วยนั้นมีสิทธิการรักษา ในระหว่างรอการส่งต่อหรือจำเป็นต้องพักรักษาตัวในสถานดูแลเนื่องจากเตียงในโรงพยาบาลไม่เพียงพอ จะต้องจัดแยกโซนการดูแลออกเป็น 3 โซน คือ ผู้ติดเชื้อ ผู้สัมผัสเสี่ยงสูง (PUI) และผู้สูงอายุปกติ กำหนดให้มีการเข้าออกคนละทาง ต้องเป็นห้องที่มีอากาศถ่ายเท ระบายอากาศได้ดี เป็นระบบปรับอากาศแยกส่วน
นอกจากนี้ ต้องตั้งทีมดูแลผู้สูงอายุเฉพาะกิจแยกจากทีมที่ดูแลผู้สูงอายุปกติ เตรียมระบบสื่อสารกับคนไข้ เช่น Line หรือ Telemedicine ประสานงานโรงพยาบาลคู่สัญญาให้จัดหาอุปกรณ์ทางการแพทย์ เช่น ปรอทวัดไข้ เครื่องวัดค่าออกซิเจนปลายนิ้ว ยาหรือเวชภัณฑ์ที่ใช้ในการดูแลผู้สูงอายุ แจ้งญาติงดเยี่ยมผู้สูงอายุที่ติดเชื้อทุกกรณี ให้เยี่ยมผ่านระบบออนไลน์แทน ต้องมีการประเมินอาการรายวัน และรายงานอาการของผู้ป่วยให้โรงพยาบาลหรือแพทย์เจ้าของไข้ทราบ และประสานส่งต่อเร่งด่วนกรณีผู้สูงอายุมีอาการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่แย่ลง หรือเกิดอันตรายต่อชีวิต