น.ส.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม รับทราบความคืบหน้าการพัฒนาวัคซีนโควิดสัญชาติไทย "ChulaCov19" ชนิด mRNA หลังจากคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้เห็นชอบอนุมัติงบประมาณสนับสนุน 2,316 ล้านบาทไปเมื่อเดือน พ.ย.64
โดยศูนย์วิจัยวัคซีนคณะแพทยศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยแจ้งว่า ขณะนี้การผลิตอยู่ในขั้นการออกแบบวัคซีนและให้โรงงานในสหรัฐเป็นผู้ผลิต ซึ่งผ่านการทดสอบในอาสาสมัครระยะที่ 1 และ 2 เรียบร้อยแล้ว มีความปลอดภัยและสามารถกระตุ้นภูมิได้สูงเป็นที่น่าพอใจ ขนาดที่เลือกเมื่อเทียบกับวัคซีนไฟเซอร์ที่อนุมัติใช้ในไทยได้ภูมิที่สูงกว่าชัดเจน ส่วนระยะต่อไปจะเป็นการผลิตวัคซีนเองภายในประเทศ โดยบริษัท ไบโอเน็ตเอเชีย จำกัด ซึ่งผลิตวัคซีนล็อตแรกเรียบร้อยและผ่านการประกันคุณภาพแล้ว ทางทีมวิจัยได้ส่งเอกสารและข้อมูลต่างๆ เข้าสู่การพิจารณาของคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) เพื่อขอทดสอบในอาสาสมัครระยะที่ 1 และ 2 อยู่ระหว่างรอการอนุมัติจาก อย. หากผลทดสอบวัคซีนที่ผลิตเองในไทยได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ คาดว่าจะขึ้นทะเบียนวัคซีนได้ภายในปลายปี 65
ทั้งนี้ รัฐบาลตั้งเป้าให้ไทยเป็นประเทศสามารถคิดค้น ทดลอง วิจัย พัฒนา และผลิตวัคซีนในประเทศได้เองตามยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศให้เป็นศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติ (Medical Hub) 2560-2569 ซึ่งจะส่งผลถึงระดับภูมิภาค ทำให้ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีความมั่นคงและปลอดภัยในการป้องกันเชื้อไวรัส โดยเป้าหมายดังกล่าวได้กำหนดไว้ตั้งแต่ก่อนที่จะมีการระบาดของโรคโควิด-19 การที่ไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตวัคซีนจะช่วยเพิ่มโอกาสให้คนไทยเข้าถึงวัคซีน และการระดมฉีดวัคซีนทำให้เกิดภูมิคุ้มกันหมู่ได้อย่างรวดเร็วมากขึ้น สามารถป้องกันการเสียชีวิตของคนไทย ช่วยลดการป่วยหนัก และการเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล ซึ่งหมายความถึงการลดภาระระบบสาธารณสุขได้อีกมหาศาล