น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ระหว่างวันที่ 13-15 พ.ค. 2565 นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.สาธารณสุข มีกำหนดการนำคณะเข้าร่วมการประชุมรัฐมนตรีสาธารณสุขอาเซียน (ASEAN Health Ministers Meeting : AHMM) ครั้งที่ 15 ณ สาธารณรัฐอินโดนีเซีย
การประชุมจะประกอบไปด้วยการพบหารือทั้งในรูปแบบที่เป็นทางการ และไม่เป็นทางการ (Retreat) โดยหัวข้อที่รัฐมนตรีสาธารณสุขอาเซียนจะหารือกันในครั้งนี้ จะได้มีการแลกเปลี่ยนข้อมูลสถานการณ์รวมถึงการบริหารจัดการต่อการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ตลอดจนการดำเนินมาตรการด้านสาธารณสุขเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจ สังคมในภูมิภาคภายหลังการแพร่ระบาด
น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า รัฐมนตรีสาธารณสุขอาเซียน จะมีการหารือถึงความคืบหน้าการจัดตั้งศูนย์อาเซียนด้านภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุขและโรคอุบัติใหม่ (ASEAN Centre for Public Health Emergencies and Emerging Diseases: ACPHEED) ตามแนวคิดของผู้นำอาเซียน จากการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 37 เมื่อเดือน พ.ย.63 ซึ่งมี 3 ประเทศสมาชิกได้แก่ ไทย อินโดนีเซีย และเวียดนามเป็นผู้ขับเคลื่อนหลัก ซึ่งที่ผ่านมาได้มีการการประชุมระดับเจ้าหน้าที่อาวุโสด้านการพัฒนาสาธารณสุข (SOMHD) มาโดยต่อเนื่อง และจะได้มีการรายงานความคืบหน้าในการประชุมครั้งนี้
รวมถึงการหารือเกี่ยวกับความคืบหน้าการจัดทำความตกลง ASEAN Travel Corridor Arrangement Framework ซึ่งเป็นกรอบความตกลงเพื่ออำนวยความสะดวกต่อการเดินทางระหว่างประเทศในภูมิภาคอาเซียน สำหรับการเดินทางที่จำเป็นของภาคราชการและนักธุรกิจในช่วงที่ยังมีการแพร่ระบาดของโควิด-19
น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า ในโอกาสนี้ นายอนุทิน จะกล่าวถ้อยแถลงต่อที่ประชุมรัฐมนตรีสาธารณสุขอาเซียน ในหัวข้อ Building Regional Health System Resilience and Accelerating COVID-19 Recovery ซึ่งจะเป็นการแสดงมุมมองของประเทศไทยต่อการสร้างระบบสุขภาพในระดับภูมิภาคอาเซียน การเพิ่มความยืดหยุ่นในกฎระเบียบ มาตรการของประเทศต่างๆ เพื่อสนับสนุนการเร่งการฟื้นตัวของทุกประเทศจากผลกระทบของโควิด-19
นอกจากการหารือระหว่างประเทศสมาชิกแล้ว รัฐมนตรีสาธารณสุขอาเซียน ยังมีกำหนดการประชุมร่วมกับประเทศคู่เจรจา ได้แก่ การประชุมรัฐมนตรีสาธารณสุขอาเซียน บวก3 (จีน ญี่ปุ่น และสาธารณรัฐเกาหลี) และ การประชุมรัฐมนตรีสาธารณสุขอาเซียน-สหรัฐอเมริกา พร้อมกันนี้นายอนุทิน ยังมีกำหนดการหารือแบบทวิภาคีในประเด็นความร่วมมือด้านสาธารณสุขกับรัฐมนตรีสาธารณสุขสหรัฐอเมริกา และรัฐมนตรีสาธารณสุขสิงคโปร์ด้วย