นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) เปิดเผยว่า ที่ประชุมศูนย์อำนวยการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค.ชุดใหญ่ ที่มีพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีเป็นประธานวันนี้ มีมติเห็นชอบการปรับพื้นที่สถานการณ์และมาตรการป้องกันควบคุมโรคแบบบูรณาการ โดยมีการปรับลดพื้นที่สีหรือแบ่งโซนในการควบคุมโรคโควิด-19 เหลือเพียงสีเขียว สีฟ้า และ สีเหลือง และผ่อนสถานบริการ สถานบันเทิง โดยเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 มิ.ย. นี้ ประกอบด้วย
การปรับระดับพื้นที่สถานการณ์ทั่วราชอาณาจักร
- พื้นที่เฝ้าระวังสูง (สีเหลือง) จาก 65 จังหวัด เหลือ 46 จังหวัด
- พื้นที่เฝ้าระวัง (สีเขียว) จาก 0 จังหวัด เป็น 14 จังหวัด
- พื้นที่นำร่องท่องเที่ยว (สีฟ้า) จาก 12 จังหวัด เป็น 17 จังหวัด
การผ่อนคลายมาตรการ โดยอนุญาตให้ สถานบริการ สถานบันเทิง หรือสถานประกอบการคล้ายกัน เปิดให้บริการเฉพาะในพื้นที่นำร่องการท่องเที่ยว (สีฟ้า) และพื้นที่เฝ้าระวัง (สีเขียว) เริ่มวันที่ 1 มิ.ย.65 โดยจำกัดเวลาในการบริโภคเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ และการให้บริการ ไม่เกิน 24.00 น. ทั้งจำหน่ายและนั่งบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และจำกัดประเภทร้านอาหารที่บริโภค เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ได้ ต้องเป็นร้านอาหารที่ผ่าน SHA+ หรือ Thai Stop COVID 2 Plus หรือตามมาตรการ COVID Free Setting การให้บริการอาบอบนวดต้องสวมหน้ากาก พนักงานต้องได้รับวัคซีนครบและตรวจ ATK ทุก 7 วัน ส่วนผู้ใช้บริการให้แสดงประวัติการฉีดวัคซีน
"หากผู้ประกอบการทำได้ดี ปฏิบัติตามาตรการอย่างเคร่งครัด การติดเชื้อน้อยลงก็จะสนับสนุนให้เปิดบริการต่อ หากทำได้ไม่ดีก็ให้อำนาจเจ้าหน้าที่ปิดบริการได้" นพ.ทวีศิลป์ กล่าว
นอกจากนี้ ที่ประชุมฯ ยังเห็นชอบให้ขยายเวลาการบังคับใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินทั่วราชอาณาจักร ครั้งที่ 18 ออกไปอีก 2 เดือน โดยจะสิ้นสุดในวันที่ 31 ก.ค.65 เพื่อให้สอดรับกับการก้าวเข้าสู่การเป็นโรคประจำถิ่น
รวมทั้ง เห็นชอบให้ปรับเปลี่ยนมาตรการด้านสาธารณสุขกรณีผู้สัมผัสเสี่ยงสูงจากเดิมกักตัว 5 วัน และสังเกตุอาการอีก 5 วัน ปรับเป็นให้สังเกตุอาการตัวเองทั้ง 10 วัน ไม่ต้องกักตัวแล้ว และแผนให้บริการฉีดวัคซีนในกลุ่มเป้าหมายหลัก คือ ผู้ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป จำนวนกว่า 12 ล้านคน และเด็กอายุ 5-11 ปี จำนวนกว่า 5 ล้านคน เพื่อปรับแผนการจัดหาวัคซีนให้เพียงพอ
นพ.ทวีศิลป์ กล่าวว่า จำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ ผู้ที่ปอดติดเชื้อ และเสียชีวิตต่ำกว่าคาดการณ์ ซึ่งกำลังจะก้าวไปสู่โรคประจำถิ่น แต่ยังคงไว้วันที่ 1 ก.ค. เนื่องจากต้องรอประเมินผลจากมาตรการผ่อนคลายและการเปิดเรียนก่อน