นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวถึงสถานการณ์โรคฝีดาษลิงทั่วโลก ณ วันที่ 26 พ.ค. 65 มีการรายงานผู้ป่วยทั้งหมด 344 ราย (เพิ่มขึ้น 35 ราย) จากที่มีการรายงานผู้ป่วยรายแรกตั้งแต่วันที่ 7 พ.ค. 65 โดยประเทศที่มีผู้ป่วยสูงสุด 5 ลำดับแรก ได้แก่ สเปน 120 ราย อังกฤษ 77 ราย โปรตุเกส 49 ราย แคนาดา 26 ราย และเยอรมนี 13 ราย ทั้งนี้ ผู้ป่วยส่วนใหญ่เป็นเพศชายที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับผู้ติดโรค อยู่ในกลุ่มอายุ 20-59 ปี
สำหรับสถานการณ์โรคฝีดาษลิงในประเทศไทย (26 พ.ค.) ยังไม่พบผู้ป่วยภายในประเทศ แต่ยังคงต้องเฝ้าระวัง และคัดกรองอย่างเข้มงวดที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ในผู้ที่มีประวัติเดินทางมาจากประเทศเสี่ยงที่มีการรายงานพบผู้ป่วย ให้เฝ้าระวังสังเกตอาการจนครบ 21 วัน หากมีอาการเจ็บป่วยให้รีบไปพบแพทย์ทันที พร้อมแจ้งประวัติการเดินทางให้แพทย์ทราบ และรายงานเข้าสู่ระบบ Thailand pass เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดในประเทศ
นพ.โอภาส กล่าวเสริมว่า โรคฝีดาษลิง เกิดจากเชื้อไวรัสกลุ่ม Poxviridae พบได้ในสัตว์หลายชนิดไม่ใช่แค่ลิง โดยพบได้ในสัตว์ตระกูลฟันแทะ เช่น กระต่าย กระรอก หนู และสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดเล็ก เป็นต้น การติดต่อจากสัตว์สู่คน เกิดจากการสัมผัสโดยตรงกับสารคัดหลั่ง หรือตุ่มหนองของสัตว์ที่ติดเชื้อ หรือจากการถูกสัตว์ที่มีเชื้อกัดข่วน การกินเนื้อสัตว์ที่มีเชื้อและปรุงสุกไม่เพียงพอ ส่วนการติดเชื้อจากคนสู่คน เกิดจากการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วย ผ่านทางสารคัดหลั่งจากทางเดินหายใจ หรือผิวหนังที่เป็นตุ่ม
ทั้งนี้ เมื่อเชื้อเข้าสู่ร่างกายจะมีระยะฟักตัวประมาณ 7-14 วัน หรืออาจนานถึง 21 วัน โดยอาการเริ่มแรกจะมีไข้ ปวดศีรษะ ปวดกล้ามเนื้อ ปวดหลัง ต่อมน้ำเหลืองโต อ่อนเพลีย หลังจากนั้น 1-3 วัน จะมีผื่นขึ้นบริเวณแขนขา ผื่นจะกลายเป็นตุ่มหนอง ในระยะสุดท้ายจะเป็นสะเก็ดแล้วหลุดออกมา โดยรวมจะมีอาการป่วยประมาณ 2-4 สัปดาห์
อย่างไรก็ดี ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะหายจากโรคเองได้ ดังนั้น ขอให้ประชาชนหมั่นล้างมือบ่อยๆ ด้วยสบู่และน้ำ หรือเจลแอลกอฮอล์เมื่อสัมผัสกับสารคัดหลั่งจากสัตว์ พร้อมทั้งรับประทานอาหารที่ปรุงสุกสะอาดอยู่เสมอ