พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม กล่าวถึงกรณีที่นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เตรียมเสนอศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) พิจารณาผ่อนคลายให้เปิดหน้ากากอนามัยในที่โล่งแจ้งว่า ศบค.เตรียมพิจารณาเรื่องนี้และอีกหลายเรื่องที่เตรียมแผนพิจารณาไว้ล่วงหน้าหมดแล้ว ขอให้ติดตามความฟังความคืบหน้าจาก ศบค.อีกครั้ง
พล.อ.สุพจน์ มาลานิยม เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศปก.ศบค.) กล่าวถึงข้อเสนอการเปิดหน้ากากอนามัยในที่โล่งแจ้งว่า กระบวนการทั้งหมดหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมถึงกรุงเทพมหานคร (กทม.) และจังหวัดต่างๆ ใน ศปก.ศบค.ต้องมาพิจารณาร่วมกันในทุกสัปดาห์ เพื่อนำเสนอ ศบค.พิจารณาการผ่อนคลายแบบเป็นขั้นเป็นตอน ภายใต้มาตรการความปลอดภัย ซึ่งหากเรื่องนี้ผ่านการพิจารณาจะต้องแก้ไขข้อกำหนด ฉบับที่ 24 ซึ่งกำกับไว้เรื่องหน้ากากอนามัยว่าใครจะสั่งให้ถอดหน้ากากอนามัยโดยพลการไม่ได้
ส่วนข้อเสนอให้ขยายเวลาการเปิดสถานบันเทิงได้ถึงเวลา 02.00 น.นั้น หลังจากผ่อนคลายให้สถานบันเทิงสามารถเปิดบริการได้ตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายนที่ผ่านมา จะต้องมีการประเมินผลภายใน 10 วัน ว่าเป็นไปตามที่ ศบค.กำหนดหรือไม่ และจำนวนผู้ติดเชื้อเป็นอย่างไร หากเป็นไปตามแผนก็จะอนุญาตเปิดเพิ่มเติมตามแผนที่กำหนดไว้ โดยต้องปลอดภัยที่สุด เช่น ขยายไปสู่พื้นที่สีอื่นๆ สถานบริการต้องเปิดดำเนินการได้ ภายใต้มาตรการควบคุมโรค
อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ยังเชื่อมโยงไปถึงการถอดหน้ากากอนามัย ซึ่งทั้ง กทม.และภูเก็ตต้องการนำร่องเรื่องนี้ จึงต้องพิจารณาว่าระหว่างให้ประชาชนประกอบอาชีพได้เต็มรูปแบบ และป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ความเสียหายซ้ำเติมประชาชนรอบ 2 ต้องดำเนินการอย่างไร ซึ่งหากดูบรรยากาศในปัจจุบันมีความเป็นไปได้สูงที่จะอนุญาตตามข้อเสนอ โดยประชาชนและสถานประกอบการต้องให้ความร่วมมือด้วย แต่สิ่งที่เป็นห่วงคือ การฉีดวัคซีนสร้างภูมิคุ้มกันที่บางจังหวัดยังน่าเป็นห่วง เพราะประชาชนฉีดวัคซีนน้อย จึงขอเชิญชวนให้ฉีดวัคซีนให้ครอบคลุม
พล.อ.สุพจน์ กล่าวว่า ศบค.มีนโยบายที่ชัดเจนว่าจะพยายามผ่อนคลายให้ประชาชนสามารถใช้ชีวิตและประกอบอาชีพได้อย่างปกติ รวมถึงให้ระบบเศรษฐกิจเดินหน้า และคำนึงถึงความปลอดภัยสูงสุด โดยทุกอย่างต้องพิจารณาอย่างรอบคอบและระมัดระวังที่สุด เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อการประกอบอาชีพต่างๆ ไม่เช่นนั้นจะเป็นการซ้ำเติมความเดือดร้อน