นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) เปิดเผยว่า กทม. ได้หารือร่วมกับกองบัญชาการตำรวจนครบาลถึงแนวทางการแก้ไขปัญหาการจราจรในพื้นที่กรุงเทพฯ โดยมี พล.ต.ต.จิรสันต์ แก้วแสงเอก รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) รับผิดชอบการจราจร เนื่องจากปัจจุบันการจราจรเป็นเรื่องเร่งด่วนที่คนกรุงเทพฯ ต้องเจอ โดยเฉพาะขณะนี้ที่โรงเรียนเปิดเรียนเต็มรูปแบบ ประกอบกับอยู่ในช่วงฤดูฝน ดังนั้น จึงได้หารือกับกองบังคับการตำรวจจราจรที่ บก.02 ซึ่งเป็นศูนย์บัญชาการจราจร โดยที่ประชุมได้ข้อสรุป 5 ข้อ ดังนี้
1. ต้องมีความร่วมมือกันอย่างเข้มข้นของทุกหน่วยงาน เพราะเรื่องจราจรของกรุงเทพฯ มีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมากถึง 30 หน่วยงาน ทั้ง กทม. และตำรวจจราจร ซึ่งเป็นหน่วยงานหลัก รวมถึงหน่วยงานอื่น เช่น กระทรวงคมนาคม องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) รถไฟฟ้า การทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) ต้องมีความร่วมมือกันส่วนใดส่วนหนึ่งให้สำเร็จให้ได้
2. จัดตั้งศูนย์บัญชาการร่วม ปัจจุบันมีอยู่ที่ บก.02 แต่การปฏิบัติยังไม่เข้มแข็งมาก หลังจากนี้จึงจะมีเจ้าหน้าที่ของ กทม. มาร่วมปฏิบัติการด้วย เพราะปัญหาการจราจรติดขัดนั้นเกี่ยวเนื่องกับ กทม. เช่น น้ำท่วม ต้นไม้ล้ม หรือหน่วยงานอื่น เช่น ขสมก. ที่มีรถเมล์เสีย ขณะเดียวกันจะมีเจ้าหน้าที่เทศกิจไปช่วยอำนวยจราจรช่วยแก้ปัญหาอย่างเร่งด่วน โดย กทม. จะรับผิดชอบในการทำแผนที่จุดติดซ้ำซาก จุดที่รถติดมากๆ นำมาประชุมวิเคราะห์ประสานงานหาทางแก้ไขร่วมกัน โดยจะเริ่มดำเนินการทันที เพราะจะเป็นทางที่ช่วยแก้หรือบรรเทาปัญหาได้ โดยผู้บริหารฯ จะมีการหารือร่วมกันทุกเดือน เพื่อดูความก้าวหน้าในการแก้ไขปัญหา
3. เรื่องเทคโนโลยี ซึ่งถือว่าสำคัญเพราะปัจจุบันกล้องวงจรปิด (CCTV) ของกทม. ที่มาใช้ดูแลจราจรที่ บก.02 มีแค่ 100 กว่ากล้อง จากที่กล้องทั้งหมดของกทม. มี 50,000 กว่ากล้อง ในส่วนของการจัดการจราจรที่ใช้ตำรวจที่สี่แยกจะไม่เห็นภาพรวม อย่างไรก็ดี ปัจจุบันเทคโนโลยีมีความก้าวหน้าไปมากแล้ว จึงควรมีระบบที่เห็นภาพรวมของการจราจรทั้งกรุงเทพฯ บริหารจัดการไฟจราจรกึ่งออโตเมติก มีคนประจำจุดช่วยดูแลบางเรื่อง และการจัดการโดยตัดสินใจในภาพรวม จะช่วยให้สามารถใช้ถนนและสี่แยกได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ดังนั้น จะตั้งคณะทำงานร่วมกันในการทำระบบเทคโนโลยีที่จะมาปรับปรุงการบริหารการจราจร หรือเรียกว่าระบบ Intelligent Traffic Management System (ITMS) ซึ่งทางตำรวจได้ศึกษาในเบื้องต้นแล้ว แต่ยังไม่ได้รับงบประมาณ ด้าน กทม. มีระบบ Area Traffic Control (ATC) ดูเฉพาะทางแยก ซึ่งจะนำคณะทำงานมารวมกัน ในคณะทำงานจะมีเจ้าหน้าที่ตำรวจ กรุงเทพมหานคร กระทรวงคมนาคม ร่วมพิจารณาระบบที่จะติดตั้งเพื่อบริหารจัดการไฟจราจรทั้งระบบให้มีประสิทธิภาพ กำหนดเป้าหมายศึกษาให้เสร็จใน 1 ปี และเริ่มดำเนินการติดตั้ง
4. เรื่องความปลอดภัย จากกรณีหมอกระต่าย มีข้อกังวลเรื่องความปลอดภัยตามทางม้าลาย ซึ่งกทม. ดูด้านกายภาพ อย่างไรก็ดี เรื่องสำคัญคือการจำกัดความเร็วบนถนน ซึ่งปัจจุบันยังไม่มีการจำกัดความเร็วอย่างเหมาะสมทุกเส้นทาง ดังนั้น กทม. จะนำข้อมูลความเสี่ยงจุดที่เกิดอุบัติเหตุบ่อยครั้ง มาวิเคราะห์ความเร็วจุดที่ต้องต่ำกว่า 80 กม./ชม. โดยนำมาหารือกับ บช.น. เพื่อกำหนดควบคุมความเร็ว ลดความเร็วในเมือง ชุมชน และเส้นทางที่มีความเสี่ยงเกิดอุบัติเหตุ สามารถทำได้ทันทีในอำนาจของ กทม. ร่วมกับ บช.น. ในการกำหนดความเร็วเพื่อให้เกิดความปลอดภัย
5. เรื่องรถจักรยานยนต์ ปัจจุบันมีจำนวนเพิ่มขึ้นมากเป็นส่วนหนึ่งของระบบขนส่ง จึงต้องหาแนวทางที่จะทำให้เกิดความปลอดภัย เช่น ทำเลนรถจักรยานยนต์ หรือทำจุดจอดก่อนถึงสี่แยก แยกจากรถยนต์ ซึ่งต้องมีการหารือวิศวกรรมจราจร ถึงแนวทางที่เหมาะสม เพื่อลดอันตรายของผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ด้วย
ผู้ว่าฯ กทม. กล่าวเสริมว่า หน่วยงานที่ดูแลในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการจราจรมีมากถึง 37 หน่วยงาน แบ่งความรับผิดชอบเป็นหลายส่วน เช่น กทม.ดูแลโครงสร้างพื้นฐานส่วนหนึ่ง เช่น ไฟจราจร ถนน สะพาน ป้ายรถเมล์ เป็นต้น และโครงสร้างพื้นฐานเหล่านี้ก็กระจายความรับผิดชอบไปยังอีกหลายหน่วยงานในสังกัด กทม. ทั้งสำนักโยธา สำนักจราจรและขนส่ง เป็นต้น ส่วนกองบังคับการตำรวจจราจร ดูแลเรื่องการบริหารจัดการจราจร จับ/ปรับผู้กระทำผิด หน่วยงานอื่นๆ เช่น กรมการขนส่งทางบก ดูแลเรื่องสภาพรถ ใบอนุญาตยานพาหนะ กรมทางหลวงชนบท ดูแลสะพานและถนน เป็นต้น
อย่างไรก็ดี ที่ผ่านมาหน่วยงานที่ทำงานด้านจราจรข้างต้น ยังคงบริหารจัดการแยกส่วน ต่างฝ่ายต่างดำเนินการตามขอบเขตอำนาจของตนเอง แม้มีการจัดการประชุมร่วมกัน แต่ประชุมเป็นครั้งๆ ไปตามนัดหมาย ไม่มีศูนย์กลางที่ทุกหน่วยงานเข้ามาร่วมกันบริหารเป็นประจำ จึงส่งผลให้การแก้ไขปัญหาจราจรล่าช้า และไม่ได้รับการจัดการปัญหาอย่างเหมาะสมทันที
ดังนั้น กทม.จะจัดตั้งศูนย์ควบคุมสั่งการจราจรกลาง (Command Center) ร่วมกับกองบังคับการตำรวจจราจร (สำนักงานตำรวจแห่งชาติ) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การบริหารการจราจรเกิดการบูรณาการระหว่างหน่วยงาน จัดการจราจรโดยภาพรวมอย่างมีประสิทธิภาพ ประสานงานไร้รอยต่อ โดยจัดตัวแทนเจ้าหน้าที่ กทม. เข้าร่วมทำงานกับตำรวจอย่างใกล้ชิด
"สัปดาห์หน้า จะลงพื้นที่ไปในจุดที่มีปัญหาการจราจร เชื่อว่าจากนี้ไปจะเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้น ต้องขอความร่วมมือพี่น้องประชาชนช่วยกันเคารพกฎจราจร มีวินัยจราจรด้วย แม้จะเป็นจุดเล็กๆ แต่ก็ทำให้เกิดปัญหาจราจรได้ ภาครัฐลุยเต็มที่ ทุกอย่างจะดีขึ้นได้" ผู้ว่าฯ กทม. กล่าว