พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม กล่าวถึงกรณีพรรคก้าวไกลเสนอให้ยกเลิกการประกาศใช้พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินว่า พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ได้ประกาศไปถึงสิ้นเดือนกรกฎาคม 65 ก็ต้องพิจารณาถึงเหตุผลความจำเป็น ซึ่งที่ผ่านมาทุกคนทราบดีว่าการใช้พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ เพื่อบูรณาการทุกหน่วยงานทั้งพลเรือน ตำรวจและทหาร เพราะต้องใช้คนทั้งหมดมาทำงาน ซึ่งมีผลมาถึงวันนี้ในเรื่องประสิทธิภาพ ฉะนั้นต้องไปดูว่าจำเป็นอีกหรือไม่
ทั้งนี้ หากจะยกเลิกไปก็เหลือแต่กฎหมายของกระทรวงสาธารณสุข จะทำไหวทุกอย่างหรือไม่ ขึ้นอยู่กับสถานการณ์มากน้อยเพียงใด ตนเองไม่ได้อยากบังคับใครทั้งสิ้น
ทั้งนี้สถานการณ์ภาพรวมเศรษฐกิจหลังเปิดประเทศมีแนวโน้มที่ดีขึ้นจากจำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นทุกวัน แต่ยังต้องแก้ไขปัญหาหน้างานในเรื่องความแออัดที่ด่านตรวจเข้าออกสนามบิน ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญที่จะหารายได้เข้าประเทศ และมีผลต่อผู้ประกอบการที่ให้บริการและห่วงโซ่ต่างๆ ทั้งหมด และร้านอาหารต่างๆ ที่สามารถขายได้มากขึ้น และคาดหวังให้เศรษฐกิจฐานรากเข้มแข็งขึ้น
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ไม่อยากให้สถานการณ์กลับไปอยู่ที่เดิม เพราะไทยเผชิญปัญหาโควิด-19 มา 2-3 ปีแล้ว สิ่งที่ทำได้ดีก็ต้องรักษาไว้ต่อ แม้บางอย่างอาจต้องสงวนรักษาหรือข้อห้ามต่างๆ ที่กำหนดไว้ก็ต้องปฏิบัติตาม ไม่เช่นนั้นก็ส่งผลกระทบเสียหายเหมือนในอดีต และในวันนี้ยังมีผลกระทบจากภาวะสงครามที่ส่งผลกับทุกประเทศ พร้อมยืนยันว่า มาตรการต่างๆ ของไทยได้ดำเนินการมากกว่ารอบบ้านหรือในต่างประเทศ
"ประชาชนเดือดร้อน คิดว่า นายกฯไม่เจ็บปวดเหรอ ไม่อยากให้ใครเดือดร้อนทั้งสิ้น ก็พยายามทำอย่างเต็มที่เท่าที่ทำได้ โดยที่ไม่สร้างปัญหาให้เกิดขึ้นในอนาคต ก็พยายามอย่างที่สุดแล้ว" พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว