นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ โฆษกคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.กัญชา กัญชง พ.ศ. ... กล่าวว่า ที่ประชุม กมธ.มีความเป็นห่วงกรณีเด็กและเยาวชนที่อาจเข้าถึงกัญชา รวมถึงการนำเสนอข่าวที่บิดเบือนจากข้อเท็จจริง กรณีที่มีผู้เสียชีวิตว่ามาจากสาเหตุกัญชา ซึ่งผลการตรวจเลือดไม่พบสาร THC จึงขอให้สื่อมวลชนระมัดระวังในการนำเสนอข่าวสารต่างๆ ซึ่งต้องมีข้อเท็จจริงรองรับด้วย
นอกจากนี้ จะเชิญผู้แทนจากกระทรวงการต่างประเทศ เพื่อมาให้ความเห็นต่อคณะกรรมการควบคุมยาเสพติดระหว่างประเทศ ในฐานะที่ไทยอยู่ภายใต้อนุสัญญาว่าด้วยยาเสพติดให้โทษ ค.ศ.1961 ว่าประเทศมีวิธีการดูแลเรื่องปัญหายาเสพติด รวมถึงมาตรการปลดล็อกกัญชาอย่างไร โดยใช้รูปแบบในต่างประเทศในการดูแลประชาชนอย่างเหมาะสมต่อไป
โฆษก กมธ.กัญชาฯ กล่าวว่า กมธ.ยังได้พิจารณาสาระสำคัญและเห็นพ้องด้วยกันในการบรรจุคุณสมบัติผู้ขออนุญาตในการทำธุรกิจเกี่ยวกับกัญชา ไม่ว่าจะเป็นการจำหน่าย ผลิต นำเข้า ส่งออก โดยเบื้องต้นกำหนดว่า บุคคลทั่วไปต้องเป็นผู้มีสัญชาติไทย มีถิ่นที่อยู่อาศัยในประเทศไทย มีอายุไม่ต่ำกว่า 20 ปี บริบูรณ์ ไม่เป็นบุคคลวิกลจริต ไร้ความสามารถ ไม่เป็นบุคคลล้มละลาย ไม่เคยต้องคำพิพากษาจำคุกคดีความผิดเกี่ยวข้องกับยาเสพติด ยกเว้นมีบทเฉพาะกาลให้ไว้เกี่ยวกับความผิดกัญชา กัญชง และกระท่อมในอดีต และยังเปิดช่องให้กับผู้เคยเสพยาเสพติดหรือกระทำความผิดได้กลับมาเป็นพลเมืองดี หากพ้นโทษแล้ว 3 ปี สามารถกลับมาเป็นพลเมืองดีได้
"ส่วนนิติบุคคล คล้ายกับบุคคลธรรมดาทั่วไป แต่ผู้แทนนิติบุคคลจะต้องเป็นคนไทย คือมีสัญชาติไทย และกรรมการนิติบุคคล หรือผู้ถือหุ้นอย่างน้อย 2 ใน 3 จะต้องมีสัญชาติไทย และมีสำนักงานในประเทศไทย ส่วนกรณีวิสาหกิจชุมชนที่ไม่เป็นนิติบุคคลก็สามารถเป็นผู้ขออนุญาตได้เช่นกัน หรือกรณีของหน่วยงานรัฐก็ได้ การกำหนดคุณสมบัติดังกล่าว เพื่อป้องกันการกีดกันการทำธุรกิจกัญชา ต้องการให้ประชาชนได้ประโยชน์ เข้าถึงง่าย ไม่ได้เอื้อต่อเครือข่ายธุรกิจนายทุน แต่เราทำเพื่อประโยชน์ของประชาชนโดยรวม" นายปานเทพ กล่าว