นพ.สมหวัง ด่านชัยวิจิตร ประธานคณะกรรมการด้านวิชาการ ตาม พ.ร.บ.โรคติดต่อ พ.ศ.2558 เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการด้านวิชาการฯ ครั้งที่ 15/2565 โดยกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เรื่องแนวทางรองรับโรคฝีดาษวานร (โรคฝีดาษลิง) ซึ่งมีคณะผู้เชี่ยวชาญเข้าร่วมประชุมเมื่อวานนี้ (25 ก.ค.) โดยระบุว่า ภายหลังจากที่องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้ประกาศให้การระบาดของไวรัสฝีดาษลิง (Monkeypox) เป็นภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุขระหว่างประเทศ (Public Health Emergency of International Concern: PHEIC) ประเทศไทยได้เตรียมความพร้อมในการเฝ้าระวัง ป้องกัน ควบคุมโรคฝีดาษลิง มานานกว่า 2 เดือน และรายงานผู้ป่วยยืนยันรายแรกเมื่อวันที่ 21 ก.ค. 65
ทั้งนี้ ที่ประชุมพิจารณายังคงให้เป็นโรคติดต่อที่ต้องเฝ้าระวัง เนื่องจากอาการของโรคฝีดาษลิงไม่รุนแรง รวมถึงการแพร่เชื้อต้องมีการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วย อย่างไรก็ดี ให้ยกระดับการเฝ้าระวัง เพิ่มการเฝ้าระวังแบบ Sentinel (หรือเฝ้าระวังเฉพาะกลุ่มเฉพาะพื้นที่) ในกลุ่มเสี่ยง เช่น นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ กลุ่มหลากหลายทางเพศ เพื่อสร้างความมั่นใจให้ประชาชน หากพบผู้ป่วยเข้าข่ายให้สอบสวนโรคและดำเนินการเก็บตัวอย่างส่งตรวจวินิจฉัย หากติดเชื้อให้แยกกัก 21 วัน
ด้าน นพ.จักรรัฐ พิทยาวงศ์อานนท์ ผู้อำนวยการกองระบาดวิทยา และเลขานุการฯ กล่าวถึงสถานการณ์โรคฝีดาษลิงทั่วโลกขณะนี้ว่า (ข้อมูล ณ วันที่ 24 ก.ค. 65) จำนวนผู้ป่วยยืนยันทั่วโลก 16,314 ราย พบผู้ป่วยยืนยันเพิ่มขึ้นเป็น 71 ประเทศ โดยพื้นที่การแพร่ระบาดส่วนใหญ่พบอยู่ในแถบทวีปยุโรป ประเทศที่มีผู้ป่วยสูง 5 ลำดับแรก ได้แก่ สเปน 3,125 ราย สหรัฐอเมริกา 2,581 ราย เยอรมัน 2,268 ราย อังกฤษ 2,115 ราย และฝรั่งเศส 1,562 ราย ส่วนใหญ่เป็นเพศชายเกือบทั้งหมด
สำหรับสถานการณ์โรคฝีดาษลิงในประเทศไทย พบผู้ป่วยยืนยัน 1 ราย เป็นชายชาวไนจีเรีย อายุ 27 ปี ซึ่งผลตรวจพบว่าเป็นสายพันธุ์ West Africa (A.2) ซึ่งเป็นสายพันธุ์ที่ไม่รุนแรง พบการแพร่ระบาดน้อย ยังไม่พบผู้เสียชีวิต สำหรับความคืบหน้าผลการตรวจ PCR ในผู้สัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วยโรคฝีดาษลิงชาวไนจีเรียทั้ง 19 รายนั้น ผลตรวจเป็นลบทั้งหมด
"ขอให้ประชาชนทำความเข้าใจกับธรรมชาติของโรคนี้ และมั่นใจได้ว่ากระทรวงสาธารณสุขมีความพร้อมในการรับมือโรคฝีดาษลิง ทั้งมาตรการเฝ้าระวัง ป้องกันควบคุมโรคอย่างเข้มงวด โดยกระทรวงสาธารณสุข ได้ยกระดับเป็นศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินด้านการแพทย์และสาธารณสุข (EOC) กระทรวงสาธารณสุข กรณีโรคฝีดาษลิง ตั้งแต่วันที่ 24 ก.ค. 65 เพื่อติดตามสถานการณ์การระบาดอย่างใกล้ชิด เตรียมความพร้อม และมีระบบเฝ้าระวังโรคฝีดาษลิง สอดรับกับประกาศขององค์การอนามัยโลก เน้นย้ำว่ามาตรการสาธารณสุขที่ดำเนินการมีความเหมาะสมกับสถานการณ์ขณะนี้ เนื่องจากโรคฝีดาษลิง จะติดต่อจากการสัมผัสกับผู้ป่วยอย่างใกล้ชิดมากๆ จึงติดต่อยากกว่าโควิด-19" นพ.จักรรัฐ กล่าว
ทั้งนี้ ขอให้ประชาชนเคร่งครัดมาตรการ Universal Prevention (UP) ล้างมือด้วยสบู่หรือแอลกอฮอล์เจลบ่อยๆ สวมหน้ากากอนามัย เว้นระยะห่าง หลีกเลี่ยงสถานที่แออัด หลีกเลี่ยงผู้เข้าข่ายมีอาการของโรคฝีดาษลิง เช่น มีผื่น ตุ่ม หนอง