พล.อ.สุพจน์ มาลานิยม เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศปก.ศบค.) เปิดเผยว่า การประชุมศูนย์อำนวยการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.ชุดใหญ่) ที่มีพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานในวันพรุ่งนี้ (19 ส.ค.) จะมีการพิจารณาข้อเสนอของกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ที่จะกำหนดกรอบแนวทางโรคโควิด-19 เป็นโรคที่ต้องเฝ้าระวัง ซึ่งจะเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. 65
ส่วนเมื่อประกาศให้โควิดเป็นโรคเฝ้าระวังแล้ว จะต้องยุบการทำงานของ ศบค.หรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ ซึ่งจะต้องประเมินสถานการณ์ว่าจำเป็นจะต้องใช้กฎหมายพิเศษหรือไม่ แต่อย่างไรก็ดี พล.อ.สุพจน์ มองว่า แม้ขณะนี้สถานการณ์โควิดจะคลี่คลายลงแล้ว แต่ยังมีความจำเป็นต้องใช้กฎหมายพิเศษ เนื่องจากต้องกำกับและควบคุมผู้ที่เดินทางเข้า-ออกประเทศ และห้ามในการกระทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่จะก่อเกิดให้เกิดโรคระบาด
พล.อ.สุพจน์ กล่าวด้วยว่า ประเด็นการพิจารณาของที่ประชุม ศบค.ในวันพรุ่งนี้ จะเน้นไปที่แผนกระจายยา ซึ่งขณะนี้กระทรวงสาธารณสุขได้กระจายรักษาโรคโควิด-19 ไปยังโรงพยาบาลเอกชน และคลินิกเวชกรรมแล้ว และระยะต่อไป จะขยายไปยังร้านขายยาชั้นหนึ่งเพื่อให้สามารถจำหน่ายยาดังกล่าวได้ ภายใต้การกำกับดูแลของแพทย์ และให้ผู้ว่าราชการจังหวัด ในฐานะประธานคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด เตรียมแผนนำไปสู่การประกาศเป็นโรคเฝ้าระวัง และรองรับการประกาศให้โควิด-19 เป็นโรคประจำถิ่น ที่สำคัญในพื้นที่กรุงเทพฯ เป็นจังหวัดใหญ่ที่จะต้องบูรณาการกับจังหวัดปริมณฑล
อย่างไรก็ดี แม้จะดูเหมือนยอดผู้ติดเชื้อโควิดเพิ่มขึ้น แต่มาตรการในการรองรับ ทั้งด้านการรักษาพยาบาล การกระจายยา การดูแลรักษาตนเองของผู้ป่วยที่ประชาชนดำเนินการอยู่ในขณะนี้ ถือว่าเป็นไปในทิศทางที่ดี
นอกจากนี้ ที่ประชุม ศบค.ยังจะพิจารณาถึงการเปิดด่านชายแดน หลังจากที่ได้ผ่อนคลายไปแล้วในช่วง 1 เดือนผ่านมา รวมถึงรับทราบรายงานสถานการณ์การท่องเที่ยวด้วย
พล.อ.สุพจน์ ยังกล่าวถึงข้อเสนอของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ในการขยายเวลาการเปิดสถานบันเทิงไปจนถึงเวลา 04.00 น.ว่า ขึ้นอยู่กับกระทรวงมหาดไทยจะไปพิจารณา เพราะที่ผ่านมา ศบค.พิจารณาจนสุดทางแล้ว แต่ ศบค.จะมีข้อห่วงใยว่าหากขยายเวลาเปิดบริการแล้ว จะมีผลกระทบกับประชาชนในการดูแลป้องกันโควิดหรือไม่