นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ยืนยันต่อนักธุรกิจอินโดนีเซียว่าเศรษฐกิจของไทยมีรากฐานที่แข็งแกร่ง ซึ่งสามารถเผชิญหน้ากับสถานการณ์น้ำมันราคาแพง ปัญหาซับไพร์ม และภาวะเศรษฐกิจโลกที่ถดถอยได้ โดยคาดว่าเศรษฐกิจไทยในปีนี้จะเติบโตได้ 4-6%
และจากการที่ประเทศไทยมีรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ดังนั้นสิ่งสำคัญลำดับแรกคือ การฟื้นฟูความมั่นใจของนานาชาติในเศรษฐกิจไทย โดยเห็นว่าประเทศไทยยังคงเป็นสถานที่ที่น่าเชื่อถือและเอื้อต่อการลงทุน มีการส่งออกภายในอาเซียนในปริมาณมาก รวมทั้งภาคเอกชนที่มีศักยภาพจำนวนมาก ซึ่งรัฐบาลได้ประกาศให้ปี 51-52 เป็นปีแห่งการลงทุนและพร้อมจะปรับปรุงกฎระเบียบต่างๆ ให้เอื้อต่อการเข้าไปลงทุนในประเทศให้มากขึ้น
"รัฐบาลได้ให้ความสำคัญต่อการเติบโตของการลงทุนให้มีความสมดุลกับการส่งออกที่เข้มแข็ง โดยประกาศให้ปีนี้เป็นปีแห่งการลงทุน จะมีการผลักดันการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและการเป็นศูนย์การการขนส่ง รวมทั้งการสร้างเสถียรภาพให้กับค่าเงินบาท และปรับปรุงกฎระเบียบ เพื่อสร้างบรรยากาศการลงทุนที่เป็นมิตรต่อนักลงทุน" นายกรัฐมนตรี กล่าวกับกับนักธุรกิจอินโดนีเซีย ในการเยือนประเทศอินโดนีเซียอย่างเป็นทางการ ระหว่างวันที่ 26-27 มี.ค.51
ส่วนการหารือระหว่างนายสมัครกับประธานาธิบดีของอินโดนีเซียนั้นได้หารือกันในประเด็นความร่วมมือด้านการลงทุน, การค้า, พลังงาน และความมั่นคงด้านอาหาร โดยความร่วมมือด้านอาหารนั้นประเทศไทยได้ให้ความสำคัญเป็นลำดับแรกต่อข้อเสนอของอินโดนีเซียที่จะซื้อข้าวจากไทย
สำหรับด้านการลงทุนและการค้าทั้งสองฝ่ายคาดว่า ในอีก 2 ปีข้างหน้าหรือภายในปี 53 มูลค่าการค้าระหว่างไทยกับอินโดนีเซียน่าจะเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัวถึง 2 หมื่นล้านดอลลาร์ จากในปี 50 ที่มูลค่าการค้าระหว่างกันอยู่ที่ประมาณ 8.75 พันล้านดอลลาร์ พร้อมกันนี้ได้ตกลงจัดตั้งคณะกรรมการการค้าภายหลังการลงนามความตกลงทางการค้าในอนาคตอันใกล้นี้ ซึ่งจะเป็นเครื่องมือช่วยผลักดันให้เพิ่มพูนการค้า การลงทุน และเสริมสร้างการพึ่งพาทางเศรษฐกิจระหว่างกัน
--อินโฟเควสท์ โดย ฐานิสร์ ทองนอก/กษมาพร/ธนวัฏ โทร.0-2253-5050 ต่อ 325 อีเมล์: tanawat@infoquest.co.th--